เหลื่อมล้ำไทยยังสุดโต่ง

Created
วันพุธ, 15 ตุลาคม 2557
Created by
สุวิภา บุษยบัณฑูร
Categories
บทความ
 

571015 content
การประชุมประจำปี 2557 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ( สศช. หรือสภาพัฒน์  )  เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา  หนึ่งในหัวข้อย่อยสัมมนาที่สภาพัฒน์นำเสนอ ก็คือเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย การศึกษาและตลาดแรงงานตอบโจทย์อย่างไร “  และเป็นที่สังเกตุว่า แม้ประเทศไทยจะพัฒนาไปกี่ปี แต่ความเหลื่อมล้ำทั้งด้านมิติรายได้,เศรษฐกิจ,การศึกษา  การเข้าถึงโอกาสระหว่างคนเมืองและชนบท  ถึงวันนี้กลับทิ้งห่างขึ้น


                 ดร.ปรเมธี วิมลศิริ  รองเลขาธิการสศช. กล่าวว่า แม้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ไทย ในภาพรวมจะดีขึ้น  โดยค่าสัมประสิทธิ์จีนี ( GINI  :สถิติบ่งชี้ความเหลื่อมล้ำ )ปี 2556  อยู่ระดับ 0.465  ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำกว่าเมื่อเทียบกับปี 2554,2552 และ2550  ที่ 0.484 , 0.490 และ 0.499 ตามลำดับ ( ตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งดี )   อย่างไรก็ดีค่าสัมประสิทธิ์ช่วงดังกล่าว ( 0.4-0.5) ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูง


                  ขณะที่จำแนกตามพื้นที่   พบว่ากรุงเทพมหานคร มีความเหลื่อมล้ำรายได้สูงสุด  แม้สัดส่วนคนยากจนจะต่ำสุดก็ตาม โดยค่าจีนี ปี 2556 อยู่ที่ 0.451 แตกต่างจากเมื่อ 15 ปีหรือ 25 ปีที่แล้ว ที่ความเหลื่อมล้ำรายได้สูงสุดคือภาคใต้ ส่วนกทม.ต่ำสุดในบรรดา 5  ภาคด้วยกัน

                 “สาเหตุที่ปัจจุบัน กรุงเทพฯมีความเหลื่อมล้ำสูง ส่วนหนึ่งเกิดจากคนมีรายได้ต่ำเข้ามาประกอบอาชีพในเมืองมากขึ้น ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ระหว่างคนในเมือง และมีแนวโน้มว่าความเหลื่อมล้ำเช่นนี้จะมากขึ้นในอนาคต “ ดร.ปรเมธี กล่าว

                ส่วนความเหลื่อมล้ำเชิงมิติเศรษฐกิจ พบว่า คนรวยสุดของประเทศ ( 10% บนสุดของแท่งกราฟ) มีสัดส่วนรายได้รวมกันถึง  36.81 % ของรายได้รวมทั้งประเทศ ส่วนคนจนล่างสุด 10 % ของประเทศ  มีรายได้รวมกันเพียง 1.06 % ของรายได้ทั้งประเทศ    โดยค่าความเหลื่อมล้ำต่างกันถึง 34.9 เท่า

                   ด้านหนี้สิน ( สะท้อนการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ )    10 % ของกลุ่มคนรวยบนสุด  มีหนี้สินต่อรายได้ครัวเรือนประมาณ 10.9 เท่า   ส่วนคนจนสุด 10 % ล่างมีหนี้สิน 29.8 เท่า  หรือแตกต่างกัน 18.9 เท่า

                   และมองในด้านการถือครองที่ดินด้วยแล้ว  คนรวยบนสุด และคนจนล่างสุด ยิ่งทิ้งห่างถึง 853.6 เท่าตัว โดยคนรวย 10% บนสุดถือครองที่ดินรวมกันประมาณ   58.33 ล้านไร่  ส่วนคนจน10 % ล่างสุดถือครองรวมกันแค่ 7 หมื่นไร่  

                ด้านการศึกษา พบว่า 10% ของกลุ่มบนที่มีรายได้สูงสุด มีโอกาสที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีกว่า  60 % ส่วน10 % ในกลุ่มที่มีรายได้น้อยสุด มีโอกาสเข้าเรียนต่อปริญญาตรีไม่ถึง 5 %  ส่วนค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา   ครัวเรือน 10% ในกลุ่มยากจนสุด  มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อปีเฉลี่ยอยู่ที่ 918.7 บาท ส่วน 10 % กลุ่มคนรวยสุด  มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อปีที่ 13,033.9 บาท

               ที่น่าสังเกตุโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา   ตั้งแต่ปี 2551-2556 แม้ในระดับประถมจะเริ่มเท่ากัน แต่กลับเหลื่อมล้ำมากขึ้นในการศึกษาชั้นสูง อัตราการเข้าเรียนในระดับปริญญาตรี ( รวม ปวส. ) ของคนเมืองจะสูงกว่าคนชนบทมาโดยตลอด   กทม. มีโอกาสเข้าถึงการศึกษามากสุด

                เช่นเดียวกับความเหลื่อมล้ำด้านความยุติธรรมและด้านการเมือง   คนจนหรือผู้มีรายได้น้อย การต่อสู้ทางกฎหมายก็ยังต่ำกว่าประชากรในกลุ่มอื่น ๆของประเทศ   โดยอำนาจตัดสินใจ /อำนาจต่อรองทางการเมือง การกำหนดนโยบายยังคงกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มคนที่เข้าถึงหรือใกล้ชิดการเมืองเป็นหลัก

                 ส่วนด้านผลตอบแทนแรงงาน  ยังตกอยู่กับเจ้าของทุนมากกว่ากระจายไปยังแรงงาน และความเหลื่อมล้ำของผลตอบแทนแรงงานระหว่างกลุ่มการศึกษาต่าง ๆยังสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปของช่องว่างของค่าจ้างแรงงานในแต่ละกลุ่มอาชีพและในแต่ละภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้น  โดยภาคเกษตรกรรมจะได้ผลตอบแทนแรงงานต่ำที่สุด

                 “โอกาสการศึกษาที่เข้าถึงไม่เท่ากัน ยังส่งผลต่อความแตกต่างรายได้ที่เกิดขึ้นด้วย และจะยิ่งมากขึ้นในช่วงหลังนี้ด้วย “  ดร.ปรเมธี กล่าว

                 แผนพัฒนาฯฉบับที่ 11 ( 2555-2559 ) ให้ความสำคัญกับการยึด”คนเป็นศูนย์กลางของพัฒนา “ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข และประโยชน์ของประชาชนเอง  จึงไม่สามารถมองข้ามปัญหา”ความเหลื่อมล้ำ” ของประเทศ เพราะไม่แล้ว  ไม่เพียงสังคมจะไม่มีความสุข และไม่บรรลุตามเป้าหมายของแผนพัฒนาฯที่วางไว้

              หากความเหลื่อมล้ำรุนแรง ยังนำไปสู่ความขัดแย้ง สร้างความแตกแยก และท้ายสุดย่อมส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อศักยภาพและการพัฒนาประเทศ.

 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 4 ต.ค. 2557

โดย...สุวิภา บุษยบัณฑูร