แร่เถื่อน คนถ่อย หน่วยงานสถุล : เหตุเกิดที่เหมืองทองคำจังหวัดเลย

Created
วันพุธ, 21 พฤษภาคม 2557
Created by
เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์
Categories
บทความ
 

- CIMG2282

มาตรา ๑๐๓ วรรคแรก  “อธิบดีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตที่ออกให้ตามความในหมวดนี้

เมื่อปรากฏว่าได้มีการฝ่าฝืนบทแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือเงื่อนไขในใบอนุญาต 

 

หรือมีเหตุอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือความผาสุกของประชาชน”[1]

                เหตุการณ์ไล่ทุบตี  จับมัดมือไพล่หลังและกักขังชาวบ้านที่ต่อสู้คัดค้านการทำเหมืองทองคำและทองแดงของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด  ในเขตตำบลเขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย  จนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสหลายราย ด้วยการใช้กองกำลังอำพรางใบหน้าจำนวน ๓๐๐ คน  พร้อมอาวุธครบมือ  ทั้งท่อนเหล็ก  มีด และปืน  โดยการนำของ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค และลูกชาย  เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ ๑๕ ต่อเนื่องจนถึงรุ่งเช้าของวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗  นั้น  ทำให้นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสองสามปีก่อนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)  ไล่จับกุมขบวนการขุด  ซื้อ  ขายและขนแร่เหล็กเถื่อนที่เมืองเลย

                เพราะคำถามมีอยู่ว่า  ทำไมหน่วยงานที่กระตือรือร้นไล่จับแร่เหล็กเถื่อนคราวนั้นจึงเป็นดีเอสไอ แล้วกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.)  ที่เป็นหน่วยงานเกี่ยวข้องโดยตรงไปอยู่เสียที่ไหน ?

                ไม่ยากเกินไปนักหากจะเปรียบเทียบเรื่องนี้กับข่าวขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าด้วยการนำไม้มาสวมตอ  หรือนำไม้มาสวมโสร่งที่ป่าลุ่มน้ำสาละวิน  เขตรอยต่อประเทศพม่าและไทย  ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่รัฐไม่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่  หรือไม่มีเอี่ยวเกี่ยวข้อง  คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้  หรือจะไม่ตัดไฟแต่ต้นลม  หรือจะไม่สามารถจับกุมกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องได้

                และแทบไม่น่าเชื่อที่ตัวละครเกี่ยวกับการขุด  ซื้อ  ขายและขนแร่เหล็กเถื่อนจะเป็นตัวละครเดียวกันกับการซื้อ  ขายและขนแร่ทองแดงเถื่อนของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด  จนนำไปสู่เหตุการณ์ความรุนแรงในค่ำคืนของวันที่ ๑๕ ต่อเนื่องจนถึงรุ่งเช้าของวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗

                บริษัท ฉางเถ่ พัฒนาการแร่ จำกัด  ที่เป็นตัวละครสำคัญในการขุด  ซื้อ  ขายและขนแร่เหล็กเถื่อนที่เมืองเลยเมื่อสองสามปีก่อน  ในแฟ้มคดีของดีเอสไอบ่งชี้ว่ามีความสัมพันธ์ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมกับบริษัท พี.ที.เค. ไมน์นิ่ง จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัททำเหมืองแร่เหล็กที่ภูอ่างในจังหวัดเลย  และมีโรงแต่งแร่เหล็กอยู่ในเขตเหมืองแร่ด้วย  เพราะมีความเป็นไปได้ว่าแร่เหล็กเถื่อนบางส่วนนอกจากจะขนเอาไปลงเรือที่แม่น้ำเจ้าพระยาในเขตจังหวัดอยุธยาแล้ว  อีกส่วนหนึ่งน่าจะนำมาที่บริษัท พี.ที.เค. ไมน์นิ่ง จำกัด  ทำการแต่งแร่ต่อไปด้วย

                ซึ่งเจ้าของตัวจริงของบริษัท พี.ที.เค. ไมน์นิ่ง จำกัด  ก็คือนายธนาวุฒิ ทิมสุวรรณ  นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย  นั่นเอง

                และก็เป็นนายธนาวุฒิ ทิมสุวรรณ  คนเดิม  ที่ให้คนสนิทโทรศัพท์มาหลายครั้งหลายหนเพื่อนัดหมายนายสมัย ภักดิ์มี  ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเขาหลวง  ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทต่อสู้คัดค้านเหมืองแร่ทองคำและทองแดงของบริษัท ทุ่งคำ จำกัด  คนหนึ่ง  เพื่อรบเร้าให้ไปหาเพื่อขอเจรจานำแร่ทองแดงออกจากเขตเหมืองแร่ที่บริษัททุ่งคำได้รับประทานบัตรบนภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอน

                จนในที่สุดนายสมัย ภักดิ์มี  ทนแรงกดดันรบเร้าไม่ไหว  จึงไปพบนายธนาวุฒิ ทิมสุวรรณ  พร้อมสมาชิก อบต.เขาหลวง อีก ๕ คน  เมื่อสามเดือนก่อน (กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗)  ที่บ้านใหญ่  ซึ่งเป็นคำเรียกที่คุ้นเคยรู้จักกันดีของคนเมืองเลยถ้าพูดถึงบ้านพักอาศัยของนายธนาวุฒิ   

ในวันเข้าพบนายธนาวุฒิยื่นข้อเสนอให้กับนายสมัย ภักดิ์มี  และพวก  ว่าตัวเขาเป็นตัวแทนจากบริษัททุ่งคำให้มาขอขนแร่ทองแดงออกจากเขตเหมืองแร่เพื่อเอาไปขาย  โดยจะขนวันละเที่ยว ๆ ละ ๑๕ ตัน  ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมด  แต่นายสมัย ภักดิ์มี  ก็ไม่สามารถรับปากแทนชาวบ้านคนอื่นได้  โดยบอกแก่นายธนาวุฒิว่าขอนำเรื่องนี้กลับไปปรึกษาหารือชาวบ้านก่อน  เนื่องจากข้อเสนอดังกล่าวไปเกี่ยวข้องกับซุ้มประตูทางเชื่อมบ้านนาหนองบงระหว่างคุ้มใหญ่กับคุ้มน้อย  ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อรถขนแร่ขนาดใหญ่เพราะโครงสร้างบางส่วนของซุ้มประตูไปสกัดขัดขวางถนนขนแร่ของบริษัทที่ตัดผ่านถนนเชื่อมหมู่บ้าน  กลายเป็นสี่แยกขึ้นมา รวมถึงบ้านนาหนองบงเองมีระเบียบชุมชนห้ามรถบรรทุกหนักเกิน ๑๕ ตัน ผ่านถนนของหมู่บ้านอีกด้วย

                ต่อมา  เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๗  พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค  นำชายชุดดำ ๑๖ คน  ใส่เสื้อคลุมแขนยาวสีดำปักสัญลักษณ์กลางหลังเสื้อคลุมเป็นรูปม้าขาวยกสองขาหน้าคาบธนูแดงบนกากบาทเป้ายิงล้อมด้วยแถบสีแดงวงกลมสองแถบ ๆ ละหนึ่งส่วนสี่ของวงกลม  พร้อมตัวอักษร ‘ทีมงาน พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค’  บุกเข้าไปในบ้านพักอาศัยของนายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์  เพื่อข่มขู่ขอนำแร่ทองแดงออกจากเขตเหมืองแร่  โดยขอใช้เส้นทางภายในหมู่บ้าน  หรือไม่ก็ต้องพังซุ้มประตูที่เชื่อมบ้านนาหนองบงระหว่างคุ้มใหญ่กับคุ้มน้อยออกไป  สาระสำคัญที่ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค  พูดตะโกนเสียงดังฟังชัดต่อหน้าชาวบ้านที่รุกฮือเข้ามารายล้อมชายชุดดำหน้าบ้านนายสุรพันธ์ก็คือ “ผมมาขนแร่ทองแดงให้นายธนาวุฒิ ทิมสุวรรณ  ที่รับซื้อแร่จากทุ่งคำไปแล้ว”

แต่ผลสุดท้ายชาวบ้านก็รุกฮือขับไล่ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค และพวก  ออกไปจากหมู่บ้านได้  และไม่มีการขนแร่ทองแดงเกิดขึ้นในวันนั้น

“ตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในภาวะขาดทุน  ผมพูดตรง ๆ ถ้าปล่อยให้เขาทำต่อไปอีกหน่อยจนคืนทุน เขาจะได้ออกจากพื้นที่ของเราไป  เพราะถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ต่อไป  ที่นี่อาจจะเป็นสมรภูมิเลือด” ถ้อยคำของ  พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ  อดีตประธานบริษัททุ่งคำเมื่อปี 2551  ที่กล่าวไว้ในงานสัมมนาเรื่อง “ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตจากปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม : ศึกษากรณีจังหวัดเลย  เหมืองทองคำ”  เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๖  ณ สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ดังก้องเข้ามาระหว่างเขียนบทความชิ้นนี้

ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดดังกล่าวของ พล.อ.กิตติศักดิ์  จะเป็นจริงในวันนี้  ซึ่งระหว่างนายพลทั้งสอง-พล.อ.กิตติศักดิ์ และ พล.ท.ปรเมษฐ์-กอดคอสนิทแนบแน่นกันมาเมื่อครั้งยังรับราชการทหาร  หลังจากออกจากราชการก็มีชื่อเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับบริษัท เสริมทรัพย์ไพศาล กรุ๊ป 1999 จำกัด  ด้วยกันทั้งคู่

                ผลงานที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังให้แก่กลุ่มอิทธิพลของ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค  ก็คือการนำกลุ่มคนใส่เสื้อคลุมสีดำเข้ามาดูแลพื้นที่หลังเหตุการณ์ปาระเบิด เอ็ม ๒๖  เข้าไปในตลาดปัฐวิกรณ์เมื่อปลายเดือนมกราคม ๒๕๕๓    ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางธุรกิจของสองบริษัท  ได้แก่  บริษัท ปัฐวิกรณ์ จำกัด  ที่ พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค  มีตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษา  กับบริษัท โชคชัยทรัพย์ทวี จำกัด  จนบัดนี้ตำรวจก็ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดเป็นฝ่ายปาระเบิด

                ความเชื่อมโยงที่กล่าวมาทั้งหมดมาลงเอยตรงจุดที่ว่ามาตรา ๑๐๓ วรรคแรก  ของกฎหมายแร่ที่ระบุว่า “อธิบดีมีอำนาจสั่งเพิกถอนใบอนุญาตที่ออกให้ตามความในหมวดนี้เมื่อปรากฏว่าได้มีการฝ่าฝืนบทแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือเงื่อนไขในใบอนุญาต  หรือมีเหตุอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือความผาสุกของประชาชน”  จึงเกิดคำถามตามมาว่าอธิบดี กพร.  ไม่รับรู้หรือว่าพื้นที่นี้มีความขัดแย้งจนเป็นเหตุกระทบถึงความปลอดภัยหรือความผาสุกของประชาชนอยู่ ?

                ข้อเท็จจริงในพื้นที่บ่งชัดอยู่แล้วว่าพื้นที่นี้มีความขัดแย้งและไม่มีความสงบสุขตามมาตรา ๑๐๓  ดังที่ได้กล่าวไป  นอกจากความรุนแรงที่ยกระดับขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมาถึงคืนวันที่ ๑๕ ต่อเนื่องรุ่งเช้าของวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗  แล้ว  ก่อนหน้านั้น  นับตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นมา  ชาวบ้านโดนคดีฟ้องร้องจากบริษัททุ่งคำถึง ๗ คดี  สองคดีแรกเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย ๕๐ ล้านบาท บวก ๑๐ ล้านบาททุกวันจนกว่าคดีจะสิ้นสุดหรือกำแพงจะถูกทำลายลงและคดีอาญาโทษฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์จากการทำกำแพงครั้งที่หนึ่งเพื่อกั้นถนนไม่ให้รถบรรทุกแร่และสารเคมีในการทำเหมืองและประกอบโลหกรรมวิ่งผ่าน  เพราะหวั่นเกรงผลกระทบที่เกิดขึ้น  สองคดีที่สองเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย ๗๐ ล้านบาท และคดีอาญาโทษฐานบุกรุกจากการทำซุ้มประตู (กำแพงครั้งที่สาม) ปิดกั้นถนนด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน  สองคดีที่สามเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย ๑๕๐ ล้านบาท และคดีอาญาโทษฐานบุกรุกพื้นที่สาธารณะด้วยการนำแท่งคอนกรีตทรงกลม (กำแพงครั้งที่สอง) ปิดกั้นถนนด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน  และคดีสุดท้ายบริษัททุ่งคำร่วมกับ อบต. เขาหลวง ไปร้องทุกข์กล่าวโทษชาวบ้าน ๒๒ คน ในข้อหาข่มขืนใจ  บุกรุกและสร้างสิ่งกีดขวางทางสาธารณะ    

จนปัจจุบันยังเป็นคดีความกันอยู่ทั้ง ๗ คดี 

                เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในค่ำคืนของวันที่ ๑๕ ต่อเนื่องจนถึงรุ่งเช้าของวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗  ต้องถือว่านายธนาวุฒิได้รักษาวัฒนธรรมเชื้อไม่ทิ้งแถวต่อจากรุ่นพ่อได้เป็นอย่างดี  เพราะเลือกใช้บริการของแก๊งทหารอย่าง พล.ท.ปรเมษฐ์ ป้อมนาค  มาทำภารกิจนี้  ไม่ต่างจากพ่อที่อื้อฉาวตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์เมื่อ ๑๙ ปีก่อน  เพราะถูกโยงใยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการบงการสังหารครูประเวียน บุญหนัก  แกนนำคัดค้านโรงโม่หินสามโรง  โรงโม่หินแห่งแรก คือ บริษัท สุรัตน์ การศิลา จำกัด ของนายสุรัตน์ ทิมสุวรรณ  อดีตสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) ในเขตอำเภอวังสะพุง  และประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย  ซึ่งเป็นที่รับรู้กันดังที่ข่าวระบุว่า นายเลข ขัตติยะ  มือปืน  เป็นคนใกล้ชิดของ นายสุรัตน์ ทิมสุวรรณ เจ้าของโรงโม่หินดังกล่าว  ส่วนโรงโม่หินอีกสองแห่งเป็นของ บริษัท สหศิลาเลย จำกัด  ของนายสมศักดิ์ แสงเจริญรัตน์ สส.เขต 1 ประชาธิปัตย์ จ.เลย  และโรงโม่หินห้างหุ้นส่วนจำกัด บุญยงค์กิจ (เลย)  แม้จะพ้นจากการเป็นผู้ต้องหาคดีดังกล่าวเพราะอัยการสั่งไม่ฟ้องก็ตาม  แต่คนเมืองเลยเขารู้กันทั้งนั้นว่าใครคือผู้บงการตัวจริงที่ฆ่าครูประเวียน

                แต่ความเชื่อมโยงดังกล่าวยังไม่สิ้นสุดอยู่เพียงแค่นักธุรกิจและนักการเมืองเท่านั้น  ตัวเชื่อมต่อที่สำคัญที่ทำให้ความรุนแรงทำงานได้ก็คือหน่วยงานราชการอย่าง กพร.  ที่เป็นผู้ออกใบอนุญาตซื้อ  ขายและขนแร่ทองแดงล็อตนี้  ทั้ง ๆ ที่ขัดต่อมาตรา ๑๐๓ วรรคแรก  ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว

                ซึ่งใบอนุญาตดังกล่าวนั้นจะให้โดยเงื่อนไขใดก็ตาม  ต้องนับว่าเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการใช้ความรุนแรงเมื่อคืนวันที่ ๑๕ ต่อเนื่องจนถึงรุ่งเช้าของวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗  ขึ้นมา  ซึ่ง กพร. ไม่สามารถปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัวได้            

                แน่นอนว่าแร่เถื่อนเข้ากันได้ดีกับคนถ่อย  และยิ่งเข้ากันได้ดีกับหน่วยงานสถุล  ผู้ที่มีชีวิตอยู่โดยไม่สนใจใยดีถึงชีวิตของมนุษย์ผู้อื่นแต่อย่างใด  ขอเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่เคารพบูชา  จนถึงขนาดไม่สนใจว่าตัวเองจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับแก๊งอิทธิพลในการทำร้ายทำลายชีวิตประชาชนที่หวงแหนแผ่นดินถิ่นเกิดหรือไม่  อย่างไร

                ขอให้ติดตามต่อไป  น่าจะมีความคืบหน้าเป็นข่าวออกมาในเร็ว ๆ นี้ว่า  ความตกลงซื้อขายแร่ทองแดง ๔๗๖ ตัน ล็อตนี้  ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะแบ่งกันคนละเท่าไหร่

                และถ้าจะลบล้างความผิดของตัวเองที่ไปเกี่ยวข้องกับแก๊งอิทธิพลในการทำร้ายชีวิตชาวบ้านเมื่อกลางดึกของวันที่ ๑๕ ต่อเนื่องจนถึงรุ่งเช้าของวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๗  กพร. ต้องเพิกถอนใบอนุญาตซื้อแร่หรือใบอนุญาตอื่นใด  ตามมาตรา ๑๐๓ ของกฎหมายแร่  และสั่งระงับยับยั้งแร่ทองแดงเถื่อนที่กองอยู่ที่โกดังที่ศรีราชาทันทีก่อนจะถูกส่งออกนอกราชอาณาจักร  หรือหากส่งออกนอกราชอาณาจักรไปแล้วก็ต้องไล่เบี้ยให้ได้ตั้งแต่ต้นทางการซื้อ  ขายและขนแร่ทองแดงเถื่อนล็อตนี้เพราะเป็นการซื้อ  ขายและขนแร่ท่ามกลางเหตุอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือความผาสุกของประชาชน

เลิศศักดิ์  คำคงศักดิ์

๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๗