สปป.ลาว หนุนชาวนาปลูกข้าวพันธุ์ดีปลอดสารพิษส่งออกขายทั่วโลก

Created
วันอังคาร, 14 มีนาคม 2560
Created by
สุมาลี สุวรรณกร
Categories
บทความ
 

mekong

 

สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute) หรือ MI สร้างความร่วมมือกับแขวงคำหม่วน สปป.ลาว หนุนชาวนาปลูกข้าวพันธุ์ดีปลอดสารพิษ ส่งเข้าโรงสี ผลิตเป็นข้าวคุณภาพส่งออกขายทั่วประเทศและทั่วโลก ล่าสุดโรงสีข้าวในคำม่วน ยื่นขอรับมาตรฐาน GMP เป็นแรกของประเทศแล้ว

 

สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute) โดยการสนับสนุนขององค์กรเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมความร่วมมือแห่งสวิตเซอร์แลนด์(Swiss Agency for Development and Cooperation-SDC)ได้ดำเนิน โครงการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง(Regional and Local Economic Development – East West Economic Corridor/RLED-EWEC)มาตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2556 โดยโครงการฯมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจท้องถิ่น และสนับสนุนให้เกิดการเจริญเติบโตตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East West Economic Corridor: EWEC)ให้เป็นไปอย่างทั่วถึง และร่วมช่วยแก้ไขอุปสรรคในการพัฒนาระดับภูมิภาคด้วย โดย การประสานความร่วมมือระหว่างพื้นที่ ที่มีระดับการพัฒนาน้อยเข้ากับพื้นที่ที่มีการพัฒนามากกว่า ซึ่งจะนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกันจากการพัฒนาบริเวณระเบียงเศรษฐกิจ และเป็นการเตรียมความพร้อมของเกษตรกรรายย่อยและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs)ให้สามารถเข้าถึงตลาดในระดับภูมิภาคและระดับสากลเพื่อที่จะสามารถแข่งขันในตลาดเสรีภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

 

โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ เกษตรกรรายย่อยSMEs สมาคมนักธุรกิจ และหน่วยงานรัฐบาลระดับท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งโครงการได้ดำเนินการประกอบไปด้วยพื้นที่สาธิตใน 6 จังหวัด ที่มีชายแดนติดกันในพื้นที่สำคัญตามแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกและตะวันตกได้แก่ แขวงคำม่วนในประเทศลาว และจังหวัดนครพนมของประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่ชายแดนติดกัน คือเมืองท่าแขก และอำเภอเมืองนครพนม , จังหวัดกวางตรีในประเทศเวียดนาม และแขวงสะหวันนะเขตในประเทศลาว ซึ่งมีพื้นที่ชายแดนติดกัน คือ เมืองลาวบาว และเมืองแดนสวรรค์ และรัฐกะหยิ่นในประเทศพม่า และจังหวัดตากของประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่ชายแดนติดกัน คือ เมืองเมียวดี และอำเภอแม่สอด

 

เรื่องนี้ ดร.วัชรัศมิ์ ลีละวัฒน์ผู้อำนวยการสถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เปิดเผยว่า สาเหตุที่เลือกส่งเสริมการปลูกข้าวในแขวงคำม่วน สปป.ลาว เพราะสปป.ลาวได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศว่าจะให้แขวงคำม่วนเป็นแหล่งผลิตข้าวป้อนคนในประเทศ แต่ที่ผ่านมานั้น ชาวนาจะปลูกข้าวแบบทั่วไป ไม่ได้เลือกพันธุ์ข้าว ไม่ได้ผลิตแบบปราณีต ทาง MI จึงได้เข้ามาส่งเสริมการปลูกข้าวแบบครบวงจร เพื่อให้ชาวนาสามารถปลูกข้าวแบบมีรายได้เพิ่มขึ้น และขายข้าวได้มากขึ้น และสามารถขายข้าวให้โรงสีได้ราคาดี รวมถึงการส่งเสริมเรื่องการส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศด้วย

 

ด้านนายนิคม รวมสิทธิ์ หัวหน้าสำนักงานโครงการใน สปป. ลาว ของ สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Project Team Leader in Lao PDR ) กล่าวถึงการเข้าไปทำงานในแขวงคำม่วนว่า สำหรับการเข้ามาส่งเสริมในสปป.ลาวนั้น ได้เริ่มดำเนินการมา 3 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2557 ที่ผ่านมา โดยส่งเสริมการรวมกลุ่มของชาวนาจำนวน 80 ครอบครัวใน 4 กลุ่ม 3 เมืองคือ เมืองท่าแขก เมืองยมราช และ เมืองหนองบก คือ ให้ปลูกข้าวพันธุ์ดี ด้วยการคัดเลือกพันธุ์ที่เป็นที่ต้องการของตลาดเช่นพันธุ์เซบั้งไฟ ข้าวหอมมะลิ , ข้าวกข. 6, กข.8 และต้องปลูกข้าวแบบปลอดสารเคมี การทำงานร่วมกับแขวงคำม่วน สปป.ลาว ในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้ร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการฝึกอบรม ฝึกปฏิบัติ และมีการตรวจสอบคุณภาพข้าวที่ปลูกด้วยว่าไม่มีสารเคมีจริงหรือไม่ ก่อนที่จะนำส่งเข้าโรงสี

 

ซึ่งกลุ่มชาวนาที่ทำนาก็ได้ปลูกข้าวมาตรฐานเกษตรปลอดภัย (Good Agricultural Practice ) หรือ GAP เพื่อยกระดับการปลูกข้าวของชาวนาในพื้นที่ และเป็นกลุ่มตัวอย่างในการทำเกษตรปลอดภัย จากนั้นได้ไปส่งเสริมโรงสีข้าวให้รับซื้อข้าวจากชาวนากลุ่มนี้ และให้ราคาสูงกว่าราคาข้าวในตลาด โดยปี 2559 ที่ผ่านมา ชาวนากลุ่มนี้สามารถขายข้าวได้สูงกว่าท้องตลาดถึง 10-25 เปอร์เซ็นต์สำหรับข้าวเหนียว ส่วนข้าวจ้าวได้สูงกว่าท้องตลาดถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นที่พอใจของชาวนามาก โดยเฉพาะเมื่อมีการคัดข้าวพันธุ์ดี ทำนาแบบปราณีต ไม่ใส่ปุ๋ยเคมี พบว่าชาวนาสามารถเพิ่มผลผลิตในการปลูกข้าวได้มาก เช่น ข้าวจ้าวปลูกได้มากถึง 1 เฮกต้าร์ หรือ 6 ไร่ต่อ 4 ตัน ข้าวเหนียว 3.5 ตัน ซึ่งเพิ่มจากเดิมที่ปลูกได้เพียง 1-2 ตันต่อ 1 เฮกต้าร์เท่านั้น

 

ส่วนโรงสีทาง MIได้เข้าไปส่งเสริมให้โรงสีรับซื้อข้าวจากชาวนากลุ่มนี้ โดยมีกลุ่มโรงสีที่รวมตัวกันเป็นสหกรณ์โรงสีข้าวจำนวน 13 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในแขวงคำม่วน มีตัวเลขว่าปี 2557 นั้น ได้มีการซื้อข้าวจากชาวนาในพื้นที่ 14,360 ตัน ในปี 2558 ที่สถาบันได้ไปส่งเสริมเรื่องการผลิตข้าวปลอดภัย พบว่าโรงสีได้มีการซื้อข้าวจากชาวนามากขึ้นเพิ่มเป็น 25,202 ตัน และพบว่าตัวเลขการส่งออกข้าวลดลงและมีการนำเอาข้าวปลอดภัยขายในประเทศเพิ่มขึ้น และขณะนี้ทางสถาบันฯได้ให้คำปรึกษาเพื่อให้โรงสีพัฒนาตัวเองให้เป็นโรงสีมาตรฐาน หลักเกณฑ์ที่ดีในการผลิตอาหาร (Good Manufacturing Practice ) หรือ GMP เพื่อจะได้แปรรูปข้าวส่งออกขายยังต่างประเทศได้มากขึ้น และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกด้วย

 

"โดยก่อนหน้านี้โรงสีข้าวส่วนใหญ่จะสีข้าวขายในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ขณะนี้เริ่มมองตลาดต่างประเทศแล้ว และมีโรงสีที่เข้าร่วมโครงการกับสถาบันฯ ได้พัฒนาโรงสีตัวเองและขอมาตรฐาน GMP แล้ว 1 โรง และจะกลายเป็นโรงสีแห่งแรกของประเทศ สปป.ลาว ที่จะได้มาตรฐาน GMP ด้วยนั่นคือโรงสี วานิดา อยู่ที่แขวงคำม่วนแห่งนี้ และเป้าหมายของสถาบันฯในการเข้ามาส่งเสริมคือต้องการให้มีการผลิต แปรรูป และส่งขายข้าวอย่างเป็นระบบได้มาตรฐานสากลด้วย เพราะขณะนี้ข้าวลาวเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากเพราะได้รับการยอมรับเรื่องปลอดภัย ไม่มีสารเคมี และเป็นข้าวพันธุ์ดีด้วย"นายนิคม กล่าว

 

ด้านนายทองออน จันทะวงสา ประธานกลุ่มกสิกรรมที่ดีบ้านผักอีตู่ แขวงคำม่วน สปป.ลาว กล่าวว่า การเข้าร่วมโครงการนั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ยุ่งยากในการทำเอกสารในช่วงแรก แต่ทาง MI ได้เข้ามาส่งเสริม อบรม ให้ความรู้ จนสามารถทำเป็น ทำได้ โดยได้เข้าร่วมโครงการในปี 2559 ที่ผ่านมา ทำเพียง 1 ปีได้ใบรับรองการปลูกข้าวปลอดสารเคมี ซึ่งสมาชิกดีใจมาก เพราะทำให้ขายข้าวได้ราคาดีกว่าแต่ก่อน ปลูกข้าวมาก็มีโรงสีมารับซื้อทั้งหมด โดยก่อนหน้านี้ขายข้าวได้ราคาต่ำ และขายยาก แต่พอมาเข้าร่วมโครงการต้นทุนการผลิตลดลง แต่รายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

"การเข้าร่วมโครงการ ทำให้เราต้องจดบันทึกรายละเอียดต่างๆ อย่างถี่ถ้วน บางคนเบื่อเพราะเอกสารเยอะลาออกไปก็มี แต่ก่อนมีสมาชิกอยู่ 34 คน ลาออกไป 4 คนเหลือ 30 คน แต่พอทำได้แล้วก็สะดวกและทำให้รู้ต้นทุน กำไรมากขึ้น ตอนนี้มีหลายคนอยากจะมาเข้าร่วมเป็นสมาชิก เพราะปลูกข้าวแล้วโรงสีรับซื้อทั้งหมดเลย ตอนนี้สมาชิกเราเฉพาะบ้านผักอีตู่มีอยู่ 30 ครอบครัว อนาคตคาดว่าจะขยายกลุ่มออกไปอีก เพื่อให้เพื่อนชาวนามีรายได้มากกว่าแต่เดิม" นายทองออน กล่าว

 

ด้านนายเพ็ดสะหมอน บัวพันทะวง เจ้าของโรงสีข้าววานิดา แขวงคำม่วน สปป.ลาว ซึ่งกำลังจะกลายเป็นโรงสีแห่งแรกของสปป.ลาว ที่ได้รับมาตรฐาน GMP กล่าวว่า ทางโรงสีได้ใช้เงินปรับปรุงโรงสีไปกว่า 5 ล้านบาท เพื่อยื่นขอใบมาตรฐาน GMP เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของตลาดสากล โดยที่ผ่านมานั้น ทางโรงสีได้สีข้าวป้อนตลาดในประเทศ และต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับในระดับมาตรฐาน GMP เท่าใดนัก พอสถาบัน MI เข้ามาส่งเสริมทำให้ทางโรงสีอยากจะได้รับมาตรฐาน GMP จึงได้ปรับปรุง และทำทุกกระบวนการให้ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สุขลักษณะของสถานที่ตั้งและอาคารผลิต เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ ที่ใช้ในการผลิต การควบคุมกระบวนการผลิต การสุขาภิบาล การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด และบุคลากร ซึ่งปลายเดือนมีนาคมนี้ก็จะรู้คำตอบแล้วว่าจะได้รับมาตรฐาน GMP หรือไม่ แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะได้แน่นอน

 

"เรามีพนักงาน 15 คน เป็นโรงสีขนาดเล็ก รับซื้อข้าวจากกลุ่มเกษตรกรมาสีแล้วบรรจุถุงขาย มีหลายขนาดตั้งแต่ 1-50 กิโลกรัม โดยใช้ชื่อยี่ห้อตราช้าง ที่ผ่านมาเคยผลิตส่งขายในลาว เวียดนาม เยอรมัน โดยมีกำลังผลิตต่อปีประมาณ 1 พันตัน แต่ปี 2559 ผลิตได้มากถึง 1,800 ตัน หากปีนี้ได้มาตรฐาน GMP แล้วปี 2561 ตั้งใจยกระดับโรงสีให้ได้มาตรฐานการผลิต ที่มีมาตรการป้องกันอันตราย ที่ผู้บริโภคอาจได้รับจากการบริโภคอาหาร ( Hazard Analysis Critical Control Point) หรือ HACCP ให้ได้แห่งแรกของประเทศอีกเช่นกัน และอนาคตอยากจะทำให้โรงสีวานิดาเป็นศูนย์เรียนรู้ของผู้สนใจที่อยากจะผลิตข้าวแบบได้มาตรฐานและครบวงจร เพื่อยกระดับการพัฒนาด้านเกษตรอุตสาหกรรมของประเทศลาวให้ดียิ่งขึ้น"นายเพ็ดสะหมอน กล่าว

 

ที่มา : คมชัดลึก วันที่ 14 มี.ค. 2560
โดย – สุมาลี สุวรรณกร