“สังคมชาวนา” ล่มสลายนานแล้ว ทุกวันนี้มีแต่ “สังคมผู้ประกอบการในชนบท” เปลี่ยน “จินตนาการประเทศไทย” เข้าใจ “ชนบทที่เป็นจริง”

Created
วันพฤหัสบดี, 02 มีนาคม 2560
Created by
มติชน
Categories
บทความ
 

 

 

buff

ควายนวดข้าว (ภาพของโสมนิมิตต์ พ.ศ.2512)

 

ปรับปรุงจากคำนำของ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ในหนังสือ ลืมตาอ้าปาก (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2559) ราคา 140 บาท
ล่มสลายนานแล้ว ชนบทดั้งเดิมที่มีกระท่อมชาวนาและคอกควาย แล้วมีชาวนากำลังทำนา แบบ "วันวานยังหวานอยู่" ที่เคยเห็นบนรูปโปสการ์ด ส.ค.ส.


ความสัมพันธ์ทางสังคมแนวดิ่ง แบบผู้ใหญ่-ผู้น้อย, เจียมเนื้อเจียมตัว, เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, ยอมจำนนต่ออำนาจเหนือ ฯลฯ ก็ลดลงจนเกือบไม่เหลือให้เห็น ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งที่สำคัญเกิดจากสังคมไทยขาดความเข้าใจเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงและศักยภาพทางการเมืองของคนชนบท


ทำให้นโยบายและโครงการต่างๆ เกี่ยวกับชนบททั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นส่วนใหญ่มักมีลักษณะเป็นการช่วยเหลือจากบนลงล่าง แทนที่จะยอมให้ชนบทได้ส่วนแบ่งอำนาจ เพื่อให้คนชนบทมีโอกาสและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร


ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในชนบทในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ได้ทำให้ระบบการผลิตและระบบสังคมแบบ "สังคมชาวนา" ล่มสลายลง แล้วนำไปสู่การก่อรูปสังคมชนบทรูปแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งอาจเรียกว่า "สังคมผู้ประกอบการในชนบท" (Rural Entrepreneur Society)


นั่นคือ การเกิดเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมแนวระนาบ แทนที่ความสัมพันธ์แนวดิ่งในระบบอุปถัมภ์แบบเดิมที่เคยเป็นความสัมพันธ์หลักของสังคมชาวนา


ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ทางสังคมแนวระนาบเช่นนี้ได้ขยายตัวครอบคลุมสังคมชนบทในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่แล้ว

 

buff2

 

 

สังคมผู้ประกอบการในชนบท


"สังคมผู้ประกอบการในชนบท" และการจัดความสัมพันธ์ทางสังคมที่เป็นเครือข่ายแนวระนาบ ทำให้คนชนบทจำนวนมากเกิดความเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด


กล่าวคือ คนชนบทได้ให้ความหมายต่อตัวเองและสังคมรอบด้านแตกต่างมากไปจากเดิม


ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้คนในชนบทมองเห็นและให้ความสำคัญแก่ความเท่าเทียมกันมากขึ้น พร้อมกันนั้นก็จินตนาการเชื่อมต่อความหมายใหม่เกี่ยวกับตนเองเข้ากับกลไกอำนาจรัฐส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น

 

buff3

 

กาดงัว อ. สันป่าตอง จ. เชียงใหม่ (ภาพจาก http://www.reviewchiangmai.com)

 

 

buff4

 

ชาวนาเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ประกอบการค้ารายย่อย ดูได้จากตลาดนัด อ. ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย (ภาพจาก http://www.thinisrichiangmai.com/talat/talatnat.html)


ซึ่งหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของความคาดหวังที่คนชนบทมีต่อรัฐส่วนกลางและรัฐท้องถิ่น โดยหวังให้เข้ามามีบทบาทในการดูแลและส่งเสริมทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อตอบสนองปัญหาและความต้องการใหม่ๆ ในชีวิตตนเองและครอบครัว


กระบวนการความเปลี่ยนแปลงนี้เองที่ทำให้ "ผู้ประกอบการในชนบท" จำนวนมากเคลื่อนย้ายตนเองเข้ามาสัมพันธ์กับการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติอย่างลึกซึ้งมากขึ้น


พื้นที่สาธารณะแบบใหม่


การที่ผู้ประกอบการในชนบทเข้าสู่การแข่งขันในการเมืองท้องถิ่น ได้ก่อให้เกิดการจัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการที่เข้ามาเป็นนักการเมืองท้องถิ่นกับคนในชนบทอื่นๆ ในลักษณะใหม่


เพราะนักการเมืองท้องถิ่นจำเป็นที่จะต้องถักสานความสัมพันธ์กับคนในชุมชนที่สอดคล้องกับชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมของชนบท
จึงทำให้เกิดการสร้าง "พื้นที่สาธารณะแบบใหม่" (New Public Space) ขึ้นเพื่อรองรับผู้คนในชุมชน


ถือได้ว่าเป็นการเคลื่อนไหวในการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นพื้นที่ที่คนในชุมชนชนบทได้เข้ามาร่วมกันสร้าง ซึ่งกลายเป็นสมบัติชุมชนในลักษณะใหม่ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ "ดิน น้ำ ป่า" แบบเดิมเท่านั้น หากแต่ยังเป็นพื้นที่ที่สามารถเชื่อมต่อกับสังคมภายนอกได้อย่างกว้างขวาง


ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นกระบวนการที่คนธรรมดาในพื้นที่ชนบทได้เข้ามาสู่การใช้ชีวิตในพื้นที่การเมืองและพื้นที่สาธารณะใหม่ และได้เข้ามามีส่วนแบ่งในการจัดสรรทรัพยากรส่วนกลางมากขึ้นกว่าเดิมมาก จนกล่าวได้ว่า เป็นกระบวนการ "ประชาธิปไตยที่เคลื่อนไหว" ในสังคมชนบททั่วประเทศ


เหล่านี้จะนำไปสู่การคิดแสวงหาแนวทางในการพัฒนาชนบทในรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งจะเป็นทั้งการเอื้ออำนวยแก่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเอื้อให้แก่การเติบโตไพบูลย์ของระบบ "ประชาธิปไตย" ในสังคมไทย
ตลาดนัด


ปรากฏการณ์ทางสังคมที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมผู้ประกอบการที่สำคัญ และเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ชนบทตั้งแต่หลัง พ.ศ. 2540 ได้แก่ การสร้างทางเลือกให้แก่ชีวิตของคนตัวเล็กตัวน้อย และเป็นทางเลือกให้แก่สังคมด้วย
นั่นคือ การปรับเปลี่ยน "ตลาดแบบจารีต" ของชาวบ้าน ให้กลายเป็น "ตลาดนัด" หรือ "ตลาดชาวบ้าน" ที่มีการขยายตัวอย่างกว้างขวาง

"ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน" ที่เกิดขึ้นใหม่นี้จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก และสามารถจัดได้อาทิตย์ละ 4-5 วัน กระจายไปในที่ต่างๆ ในละแวกใกล้เคียง


ที่สำคัญ ขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักนี้ จะมีผู้ขายที่เป็นคนในพื้นที่ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ขายทั้งหมด โดยผู้ขายกลุ่มนี้จะนำเอาพืชผักผลไม้และสิ่งอื่นๆ ที่ผลิตในพื้นที่นั้นๆ มาสู่ตลาด


ส่วนผู้ค้า/พ่อค้าประจำอีกร้อยละ 50 ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล โดยมากแล้วก็เป็นคนในพื้นที่แถบนั้น เพียงแต่มีเครือข่ายผู้ค้าที่กว้างขวางคอยชักนำให้เข้าถึงแหล่งสินค้าอื่นๆ ที่คนในชุมชนต้องการ


จึงกล่าวได้ว่า "ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน" ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นการซื้อขายในระดับท้องถิ่นที่ไม่กว้างขวางนัก และผู้ค้าเองก็จะไม่เดินทางข้ามไปค้าขายไกลมาก วงจรการไหลเวียนของเงินตราจึงพักค้างอยู่ในระดับท้องถิ่นมากกว่าการซื้อขายสินค้าทั่วไปอย่างที่ผ่านมา
ในหลายกรณี "ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน" ก็สามารถสร้างเกรดของตนใหม่ได้ด้วยการมุ่งสู่ "ตลาดเฉพาะกลุ่ม" (Niche Market) เช่น ตลาดพืชผักปลอดสารพิษ (ตลาดเฉพาะนี้ประสบผลสำเร็จในเขตเมืองใหญ่มากกว่าในชนบท) หรือในหลายพื้นที่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่วันติดตลาดนัดอาจมีคนเดินซื้อของเรือนพัน (ในเมืองเชียงใหม่ก็มีตลาดใหม่ที่ใหญ่ขึ้นทันตาหลายแห่ง) รวมทั้ง "ถนนคนเดิน" สำหรับนักท่องเที่ยวที่คนเมืองก็ชอบไปเดินซื้อของ


การขยายตัวของ "ตลาดนัด/ตลาดชาวบ้าน" เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของสังคมไทย ทำให้ชักจูงผู้คนมาเข้าร่วมได้เป็นจำนวนมาก ผู้ซื้อจำนวนมากพึงพอใจกับราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพ ผู้ขายประจำก็พึงพอใจกับผลตอบแทน ขณะเดียวกัน ผู้ค้าที่เป็นคนในท้องถิ่นเองก็พึงพอใจที่สามารถเข้าถึงตลาดได้ด้วยตนเอง และพวกเขาก็สามารถนำพืชผักผลไม้ในสวนหลังบ้านที่มีจำนวนไม่มากพอส่งตลาดมาขายทำเงินได้ในตลาดนี้


การขยายตัวอย่างกว้างขวางและดึงคนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างมากมายนี้ ชี้ให้เห็นชัดถึงผลรวมของความเปลี่ยนแปลงจาก "สังคมชาวนา" สู่ "สังคมผู้ประกอบการ"

 

buff5

 

 

คึกคัก- บรรยากาศการจับจ่ายสินค้าในตลาดนัดและห้างสรรพสินค้าใน จ. มหาสารคาม เริ่มคึกคักหลังจากมีเงินสะพัดจากโครงการช่วยเหลือชาวนา (ภาพและคำบรรยายจาก ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์-วันพุธที่ 1 มีนาคม 2560 หน้า 23)

ประวัติศาสตร์เพื่ออนาคต


การทำความเข้าใจและอธิบายประวัติศาสตร์ชนบทใหม่ เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับ การทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างสลับซับซ้อนในพื้นที่ชนบท


และที่สำคัญคือเป็นการเปลี่ยนกรอบคิดในการอธิบายชาวชนบทในปัจจุบัน อันน่าจะเป็นการปูทางให้แก่การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทาการเมืองที่กำลังทวีเข้มข้นขึ้น


การรับรู้ประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่การรับรู้ "อดีต" เท่านั้น หากแต่เป็นการเข้าใจ "ปัจจุบัน" เพื่อที่จะมองหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาในอนาคต ประวัติศาสตร์จึงเป็นเรื่องของปัจจุบัน มากกว่าเป็นเรื่องของ "อดีต" อย่างเช่นที่เข้าใจ


แต่เนื่องจากโครงสร้างอำนาจของสังคมไทยกำหนดให้ประวัติศาสตร์เป็นเพียงเรื่องราวของ "อดีต" จึงทำให้สังคมไทยขาดศักยภาพในการจัดการกับปัจจุบันไปอย่าง น่าเสียดาย


"อดีต" ของชนบท คือประวัติศาสตร์ชนบทที่คนในพื้นที่ชนบทได้รับรู้ว่าโคตรเหง้าเหล่ากอของตนมีส่วนร่วมในการสร้างชุมชนของพวกเขา และก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ที่ส่งผลต่อทั้งชีวิตของแต่ละคน และต่อชีวิตของชุมชนของพวกเขาเองอย่างไรบ้าง


การรับรู้และการสร้าง "ประวัติศาสตร์" เช่นนี้ จะทำให้ชีวิตของผู้คนเชื่อมต่อกับชีวิตสาธารณะของชุมชน และขยายออกไปสู่สังคมและชาติได้ในที่สุด


แกนกลางของประวัติศาสตร์จึงเป็นการเชื่อมต่อชีวิตของคนเข้ากับชีวิตของสังคม หากการรับรู้ประวัติศาสตร์ชนิดใดไม่สามารถก่อให้เกิดจินตนาการเชื่อมต่อเช่นนี้ได้ "ประวัติศาสตร์" ชนิดนั้นก็จะหมดความหมายและกลายเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ไปในที่สุด


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อการรับรู้และอธิบายประวัติศาสตร์ชนบทได้กลายเป็น "โครงการทางการเมือง" ก็ยิ่งทำให้คำอธิบายนั้นหมดพลังในการสร้างความหมายไปในที่สุด


การศึกษาประวัติศาสตร์ที่เชื่อมต่อชีวิตผู้คนกับชีวิตของสังคมจะเอื้อให้ทุกคนในประวัติศาสตร์ล้วนมีความหมาย มีบทบาทในการร่วมสร้างสรรค์ "อดีต" ของตน และสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ในอดีต ความรู้ประวัติศาสตร์เช่นนี้จึงจะเป็นการคืน "ประวัติศาสตร์/อดีต" ให้แก่ผู้คนและสังคม ซึ่งจะทำให้ทุกคนสามารถจินตนาการถึงความหมายของตนในปัจจุบันนี้ได้ว่าควรทำสิ่งใดให้แก่สังคม


ที่มา : มติชน วันที่ 2 มี.ค. 2560