จับชีพจร 'เกษตรไทย' ทางรอดท่ามกลาง 'ทุนใหญ่' ไหลบ่า

Created
วันพฤหัสบดี, 26 มกราคม 2560
Created by
พันแสง เดชามาตย์
Categories
บทความ
 

253953

 

"กสิกรแข็งขันเป็นกระดูกสันหลังของชาติ...
ไทยจะเรืองอำนาจเพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม"...


บทเพลง "รำวงกสิกรไทย" ของวงสุนทราภรณ์ สะท้อนอัตลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของสังคมไทย นั่นคืออาชีพ "เกษตรกรรม" ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ไปจนถึงผู้เลี้ยงปศุสัตว์ ถือเป็นอาชีพสำคัญ กระทั่งเมื่อสังคมไทย "เปลี่ยนตามโลก"เข้าสู่การเป็น "สังคมอุตสาหกรรม" นับตั้งแต่ปี 2504 ที่ประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เป็นต้นมา ดูเหมือนภาคการเกษตรของไทยอาจจะ...


ถูกหลงลืม!!!


ณ เวทีเครือข่ายงานวิจัยไทยศึกษา "พลวัตสังคมเกษตรในยุคเสรีนิยมใหม่"..."ดร.เดชรัตน์สุขกำเนิด" อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ในระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา จำนวนครัวเรือนเกษตรยังเพิ่มขึ้น แต่ไม่มากเพียง 5-6 ล้านครัวเรือน หรือร้อยละ 5 เท่านั้น หมายความว่าจำนวนครัวเรือนเกษตรไม่ได้น้อยลง หากแต่เป็น "พื้นที่เพาะปลูก" ที่ค่อยๆ หายไป
ดร.เดชรัตน์ กล่าวว่า การใช้ที่ดินมีการเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 2 ทศวรรษ นาข้าวมีพื้นปลูกแนวโน้มลดน้อยลง แต่ที่เพิ่มมา คือ ยางพารา และที่ลดลงมากอย่างน่าเป็นห่วง คือ พืชผักสมุนไพรไม้พืชผล และไม้ยืนต้น บ่งบอกว่าเกษตรกรตอบสนองต่อ "ราคาผลผลิต" แต่ไม่รู้จักวางแผนล่วงหน้าจนอาจทำให้...

 

greenindus

 

นํ้าตาตก!!!


ดร.เดชรัตน์ ชี้ว่า ข้อน่าเป็นห่วงจริงๆในภาคการเกษตร คือ "แรงงาน" ถ้าเปรียบเทียบอายุของหัวหน้าครัวเรือนเกษตร เห็นได้ว่ามีแนวโน้มของหัวหน้าครัวเรือนเกษตรที่ "สูงอายุมากขึ้น" และแม้หัวหน้าครัวเรือนภาคเกษตรระยะหลังๆ จะมีการศึกษามากขึ้น แต่การหาแรงงานมาทำก็เป็นเรื่องยากเต็มที


"ในปี 2536 เดิมทีอายุ 25-34 ปีจะมีอยู่ร้อยละ 17 อายุ 35-44 ปี จะมีอยู่ร้อยละ 28 พอปี 2556 อายุ 25-34 เหลือแค่ร้อยละ 5 อายุ 35-44 ปี เหลือร้อยละ 18 ส่วนที่เพิ่มขึ้น คือ อายุ 55-64 ปี และอายุ 65 ปีขึ้นไป จากการลดลงของประชากรของเกษตร ทำให้มีความต้องการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นแรงกดดันหลักของภาคการเกษตรไทยแม้หัวหน้าครัวเรือนเกษตรมีการศึกษามากขึ้น แต่ไม่สามารถทดแทนจำนวนแรงงานที่น้อยลงได้" นักเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ระบุ


หันมาดูใน "ภาคการเลี้ยงสัตว์"...ดร.เดชรัตน์กล่าวว่า ขณะนี้ "ทุนใหญ่" ได้เข้าครอบครองเส้นทางการเลี้ยงและค้าสินค้าปศุสัตว์ถึง 2 ใน 3 อาทิ "สุกร" (หมู) ในอดีตนั้นฟาร์มที่เลี้ยง 500 ตัวขึ้นไป มีอยู่ร้อยละ 27 ฟาร์มขนาดเล็กมีอยู่ร้อยละ 21 แต่ปี 2546 จำนวนฟาร์มที่เลี้ยง 500 ตัวขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 48 ส่วนจำนวนฟาร์มขนาดเล็กเหลืออยู่ร้อยละ 11 และในปี 2556 ฟาร์มที่เลี้ยง 500 ตัวขึ้นไป เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 67 เพิ่มขึ้น ส่วนฟาร์มขนาดเล็กเหลือเพียง ร้อยละ 5


เช่นเดียวกับ "ไก่" ฟาร์มขนาดใหญ่หากเทียบเป็นสัดส่วนหลังจากเหตุการณ์ไข้หวัดนกปี 2547 ที่มีอยู่ ร้อยละ 32 ได้เพิ่มขึ้นมาเป็น ร้อยละ63 ส่วนฟาร์มไก่ขนาดเล็กลดลงจากร้อยละ 9.3 เหลือเพียง ร้อยละ 5.5


"การเตรียมความพร้อมของเกษตรกรรายย่อย จึงต้องให้ความสำคัญที่การพัฒนาเทคโนโลยีใช้ทดแทนแรงงาน และการติดตามข่าวสารการพัฒนารูปแบบการผลิตทางการเกษตร ซึ่งจะทำให้เกษตรกรของไทยพึ่งตนเองได้" นักเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ให้ความเห็น


อีกด้านหนึ่ง...การขยายของทุนใหญ่ ทำให้เกิดระบบที่เรียกว่า "เกษตรพันธะสัญญา" หรือก็คือเกษตรกรทำหน้าที่เป็น "แรงงานนอกระบบ" (Outsource) รับจ้างผลิตวัตถุดิบป้อนเข้าสู่โรงงานอุตสาหกรรมการเกษตรของทุนใหญ่


เรื่องนี้ "ดร.ภัทรพรรณ ทำดี" รองหัวหน้าภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า จากการศึกษาวิถีชีวิตเกษตรกรใน จ.นครปฐม อันเป็นพื้นที่หนึ่งที่ระบบเกษตรพันธะสัญญาเข้าไปอย่างแพร่หลาย พบว่ามี "ข้อน่าห่วง" คือ หลายรายไม่มี...

 

greenindus1

 

สัญญาลายลักษณ์อักษร!!!


อาจารย์ภัทรพรรณ กล่าวว่า แรกๆ เมื่อสอบถาม เกษตรกรจะบอกว่ามีสัญญา แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียด กลับมีเพียง "สัญญาใจ" เท่านั้น ไม่มีการร่างไว้เป็นเอกสาร หรือแม้กระทั่งในรายที่แม้จะมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ตัวสัญญากลับร่างขึ้นแบบ "ไม่ชัดเจน" ทำให้เสี่ยงต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบ


"มีเกษตรกรหลายรายที่บริษัทไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวของสัญญาที่ชัดเจน บางทีก็ขอเพิ่มเงื่อนไขจากที่สัญญากำหนดไว้ จึงกลายเป็นเกษตรกรที่ถูกขูดเลือดขูดเนื้อจากบริษัท" อาจารย์ภัทรพรรณ กล่าว


อาจารย์ภัทรพรรณ กล่าวอีกว่า เกษตรกรที่เข้ามาอยู่ในระบบพันธะสัญญามีอยู่ 2 ทางเลือก คือ "เลิกเพราะทำแล้วไม่ไหว" ขอยุติสัญญา เพราะเห็นว่าเกษตรกรจะต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายต่างที่สูงกว่าระบบการเกษตรทั่วไป รู้สึกเหมือนถูกเอารัดเอาเปรียบ จนทำให้เกษตรกรบางรายตัดสินใจ "ยกธงขาว" กับกลุ่มที่ "ทำแล้วพออยู่ได้" ขอไปต่อกับระบบนี้ เพราะมองว่าไม่ขาดทุนไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ในระบบพันธะสัญญามีความมั่นคงในเรื่อง "การรับประกันรายได้"เกษตรกรไม่ต้องหาตลาดเอง แต่มีคนกลางหรือกลุ่มทุนที่ว่าจ้าง เป็นผู้รับซื้อไปจำหน่ายหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ แทน


แต่ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรที่ "ปลูกเอง-ขายเอง" หรือเป็นเกษตรกรที่ "รับจ้างผลิต" ให้กลุ่มทุน "อาจารย์ภัทรพรรณ" ยํ้าว่า ต้องมี "ต้นทุน 3 ประการ" อันจะมีผลต่อการตัดสินใจ คือ 1.ตัวตนเป็นทักษะเฉพาะของเกษตรกรแต่ละคน เพื่อเอาตัวรอดจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ 2.ความรู้ เป็นสิ่งที่เกษตรกรจำเป็นต้องสะสมความรู้ไม่ใช้แค่ความรู้ในเรื่องเพาะปลูก ต้องรู้เรื่องการบริหารจัดการ การควบคุม และการวางแผน และ 3.เครือข่าย เพื่อเป็นฐานเชื่อมต่อกับภาคส่วนอื่นๆ ทั้งเครือข่ายความรู้ เครือข่ายแหล่งทุน เครือข่ายระหว่างผู้นำกับผู้สนับสนุน ที่สำคัญคือ "เครือข่ายตลาด" เพราะจะได้ไม่เสี่ยงกับสถานการณ์...


ผลิตได้...แต่ขายไม่ออก!!!


ส่วนเกษตรกรที่เลือกระบบพันธะสัญญา ก็ต้องหาวิธีทางจัดการกับบริษัทที่คอยเอารัดเอาเปรียบด้วยเช่นกัน
"หากต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรพึ่งตนเอง และดำรงชีวิตอยู่ได้ราบรื่นในระบบพันธะสัญญา จำเป็นต้องสนับสนุนให้เกษตรกรมีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการปรับตัว โดยส่งเสริมในด้านความรู้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการผลิต ทั้งในเรื่องของการป้องกันและจัดการโรคในพืช ตลอดจนความรู้ในการบริหารจัดการกลุ่มเกษตรโดยอาศัยฐานข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร" อาจารย์ภัทรพรรณ ฝากทิ้งท้าย


เป็นที่ทราบกันดีว่า สัดส่วนรายได้ (GDP) ของประเทศไทยในภาคเกษตรนั้นถือว่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับภาคบริการ (ท่องเที่ยว) หรือภาคอุตสาหกรรม แต่ถึงกระนั้นภาคเกษตรยังมีความสำคัญในฐานะ"ผู้ปิดทองหลังพระ" ผลิตอาหารเป็น "เสบียง" ไว้บริโภคภายในประเทศ ทำให้ไม่ต้อง"นำเข้า" อย่างหลายชาติที่พื้นที่เพาะปลูกน้อยจนกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนโดยรวม
ฉะนั้นแล้ว "โจทย์ใหญ่" ของภาครัฐ คือ จะทำอย่างไรให้เกษตรกรอยู่ได้อย่าง "ยั่งยืน" และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นฐานของ "ความเป็นธรรม" ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจาก "กลุ่มทุน"ที่เข้าไปหาประโยชน์จาก "กระดูกสันหลังของชาติ"

ที่มา : แนวหน้า วันที่ 26 ม.ค. 2560

 

ผู้เขียน : พันแสง เดชามาตย์