พลวัตเกษตรไทยรอบ20ปี เเรงงานหาย ทุนใหญ่ฮุบ อินทรีย์มาเเต่ไม่สุด ชาวนายังต้องช่วยตนเอง

Created
วันอาทิตย์, 04 ธันวาคม 2559
Created by
ประชาชาติธุรกิจ
Categories
บทความ
 

seed1

 

จากคำกล่าวที่ว่า "เกษตรกร" เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ เเล้วตอนนี้สันหลังของชาตินั้นสภาพเป็นอย่างไร กลุ่มทุนเเละเทคโนโลยีก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญเช่นไร สังคมเกษตรไทยเปลี่ยนไปหรือยังไม่เดินหน้าไปไหน ในรอบ 20 ปี

ประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 ร่วมกับ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเวทีเสวนาวิชาการไทยศึกษา เเลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในหัวข้อ "พลวัตสังคมเกษตรในยุคเสรีนิยมใหม่" ณ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

 

อ.ดร.เดชรัต สุขกำเนิด คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึง"การเปลี่ยนแปลงของสังคมเกษตรไทยในรอบ 20 ปี" ระบุว่า ที่ผ่านมาคนไทยส่วนใหญ่มักอ่อนไหวเเละให้ความสำคัญกับการถือครองที่ดินเเละการใช้ที่ดินในภาคการเกษตร โดยมีความเป็นห่วงว่าการเพิ่มขึ้นของครัวเรือนการเกษตรใหม่ๆ จะทำให้ขนาดการถือครองที่ดินของเกษตรกรเล็กลงมากจนไม่สามารถอยู่ได้ หรือกังวลว่าพื้นที่การเกษตรจะสูญเสียเป็นเขตเมืองเเละอุตสาหกรรม

 

จากรายงานผลสำรวจพบว่า ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราวร้อยละ 5.3 จาก 5.65 ล้ายราย (ปี 2536) มาเป็น 5.91 ล้านราย (ปี2556) ขณะที่เนื้อที่ถือครองทางการเกษตรกลับมีจำนวนลดลงราว ร้อยละ 1.8 จาก 118.76 ล้านไร่ (ปี 2536) เหลือ 116.62 ล้านไร่ หรือลดลงประมาณ 2 ล้านไร่ในรอบ 20 ปี

 

"ดังนั้นการสูญเสียพื้นที่ทางการเกษตรจึงยังไม่ใช่ข้อห่วงกังวลหลักของภาคการเกษตรไทย"

 

ขณะที่เมื่อพิจารณาในเเง่พื้นที่การถือครองพบว่าครัวเรือนภาคการเกษตรส่วนใหญ่ของไทยมีพื้นที่ถือครองประมาณ10-30ไร่รองลงมาคือ1-10 ไร่ ต่อครอบครัว โดยครัวเรือนที่มีพื้นที่ถือครองขนาดเล็กกว่า 10 ไร่ มีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.11 ล้านราย (ปี 2536) มาเป็น 1.38 ล้านราย (ปี2556) ส่วนครัวเรือนผู้ถือครองเกิน 30 ไร่ยังมีจำนวนใกล้เคียงกับของเดิม

 

ดร.เดชรัต กล่าวอีกว่า จากสำมะโนการเกษตรในรอบ 20 ปีข้างต้น เเสดงให้เห็นว่าการล่มสลายของภาคการเกษตรเเละการล่มสลายของฟาร์มขนาดเล็ก ยังไม่ปรากฏชัดเจนดังเช่นที่หลายฝ่ายเป็นกังวลกัน

 

ปลูกข้าวลด ปลูกยาง-พืชไร่พุ่ง

 

ด้านโครงสร้างการใช้ที่ดินของภาคการเกษตรไทยมีการเปลี่ยนเเปลงพอสมควร โดยการปลูกข้าวลดลงจากร้อยละ 55.4 (ปี2536) เหลือร้อยละ 51.3 (ปี2556) ในขณะเดียวกัน พื้นที่การปลูกยางพารากลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากร้อยละ 8.0 เเละ 21.3 (ปี2536) มาเป็นร้อยละ 14.5 เเละ 22.4 (ในปี 2556) ตามลำดับ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นมีการปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านไร่ ในเวลา 10 ปี (2546-2556) โดยในเเง่ของที่ดินพบว่ามีการใช้เพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน

 

"เกษตรตอบสนองต่อราคาช่วงไหนยางพาราราคาดีเกษตรก็จะเเห่ปลูกตามไปด้วยทิศทางของเกษตรกรจะเป็นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเเล้วคือราคาดีเเล้วค่อยตามสวนทางกับการทำให้ถูกต้องตามหลักเกษตรคือเราต้องวางเเผนว่าอะไรปลูกเเล้วราคาดีจึงค่อยปลูก" ดร.เดชรัตกล่าว

 

วิกฤตวัยเเรงงานเกษตรหาย คนเเก่-ลูกจ้างต่างด้าวเพิ่ม

 

ดร.เดชรัตกล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่เรื่องที่ดิน เเต่เป็นเรื่องเเรงงาน โดยหัวหน้าครอบครัวเกษตรจะมีอายุเพิ่มขึ้น กำลังน้อยลง ชราภาพยิ่งขึ้น จากผลสำรวจพบว่า สัดส่วนของสมาชิกในครัวเรือนการเกษตรที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปีลดลงจากร้อยละ 45.4 (ปี 2536) เหลือเพียงร้อยละ 25.8 (ปี2556) เเละมีสมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งเเต่ 55 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.3 (ปี2536) มาเป็นร้อยละ 25.1 (ปี2556)

 

ดังนั้นสืบเนื่องจากการลดลงของประชากรวัยทำงานในภาคการเกษตรจึงทำให้มีความต้องการจ้างเเรงงานมากขึ้นโดยจำนวนลูกจ้างประจำทางการเกษตรเพิ่มขึ้นจาก6เเสนคน(ปี2546)มาเป็น1.1ล้านคน (ปี2556) โดยในจำนวนนี้ 144,280 คน เป็นเเรงงานข้ามชาติ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงข้อมูลจำนวนลูกจ้างชั่วคราวซึ่งมีจำนวนมากเช่นกัน

 

ด้านการศึกษา ดร.เดชรัตระบุว่า หัวหน้าครอบครัวเกษตรที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษามีเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 2.5 ขณะเดียวกันระดับมัธยมเเละอนุปริญญาก็มีเเนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.4 เเละ 2.6 ตามลำดับ

 

seed2

 

 

ทุนขนาดใหญ่ กับบทบาทเศรษฐกิจไทย

 

ในเเง่ของข้อมูล พบโครงสร้างของทุนในการผลิตที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการเปลี่ยนเเปลงด้านฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ที่มีกลุ่มทุนเข้ามาครอบครองการผลิตเพิ่มขึ้นมากตลอดช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา

 

รายงานระบุว่า สัดส่วนของฟาร์มสุกรที่มีขนาดใหญ่ตั้งเเต่ 500 ตัวขึ้นไป ผลิตสุกรได้ในสัดส่วนร้อยละ 27.4 (ปี2536) ของจำนวนสุกรที่ผลิตได้ทั้งประเทศนั้นได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 48.3 (ปี2546) เเละเพิ่มมาดป็นร้อยละ 67 ของสุกรที่ผลิตได้ทั้งประเทศ ในปี 2556 (2 ใน 3 ของสุกรที่ผลิตได้ในปีดังกล่าว)

 

"กล่าวคือสุกรประมาณ 2 ใน 3 ของฟาร์มทั้งหมดในประเทศ ตกอยู่ในมือของฟาร์มสุกรรายใหญ่ซึ่งมีเพียงประมาณร้อยละ 1.5 ของฟาร์มสุกรทั้งประเทศ สวนทางกับการเลี้ยงสุกรในฟาร์มขนาดเล้ก น้อยกว่า 10 ตัว ซึ่งเคยมีสัดส่วนร้อยละ 21.8 ในปี 2536 ลดลงกว่าเกินเหลือเพียงร้อยละ 5.1 ในปี 2556 เท่านั้น อีกทั้งผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยกว่า 3 ใน4 เลิกเลี้ยงสุกรไปเเล้วใน 20 ปีที่ผ่านมา"

 

ดร.เดชรัตกล่าวว่า กลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามาครอบครองส่วนเเบ่งการตลาดในด้านปศุสัตว์มากกว่าการปลูกพืช โดยขณะนี้กลุ่มทุนใหญ่ยังไม่เข้ามาทำหน้าที่การผลิตโดยตรงในการกสิกรรม เพราะเห็นว่าเป็นกิจกรรมการผลิตที่มีความเสี่ยงสูง จึงยกภาระการเเบกความเสี่ยงไว้ให้แก่เกษตรกรเเทน โดยกลุ่มทุนจะเข้ามาทางอ้อมโดยการควบคุมปัจจัยการผลิตเเละการตลาดของผลผลิตมากกว่า

 

"การเปลี่ยนเเปลงของทุนเป็นการเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเเละรุนเเรง เเต่จำกัดวงในกิจกรรมที่กลุ่มธุรกิจสามารถควบคุมความเสี่ยงได้เท่านั้น การพัฒนาทางเทคโนโลยีสำหรับการผลิตขนาดใหญ่ จึงเป็นปัจจัยชี้ขาดสำหรับเกษตรกรรายย่อยว่าจะสามารถดำรงอยู่ได้หรือต้องถูกเบียดขับออกไป" ดร.เดชรัตระบุ

 

seed3

 

 

เมื่อเจ้าของที่ดินเป็นเสมือน "เเรงงาน" กับเทรนด์เกษตรอินทรีย์ที่ไปไม่สุด

 

ด้านศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เเสดงความคิดเห็นว่า ถ้าดูจากความเป็นจริงคือที่นายังเป็นของเกษตรกร เเต่ในสมัยเสรีนิยมใหม่กระบวนการนี้ทำงานผ่านพันธะสัญญา เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงเข้าไปกำกับควบคุมภาคที่ดิน ชี้ให้เห็นว่าเกษตรยังเป็นเจ้าของที่ดินอยู่จริง เเต่สถานภาพไม่ต่างจากการเป็นเเรงงานในระบบทุน อาจเป็นเจ้าของที่ดินเพียงในนามเท่านั้น

 

สำหรับเกษตรเเปลงใหญ่ จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี จึงมีการเข้าไปกำกับที่ดินเพื่อทำการเกษตร รวมไปถึงการดำเนินการเกษตรด้วย ดังนั้นการบอกว่าเกษตรเเปลงใหญ่จะทำให้ชาวนามีเสียงการต่อรองมากขึ้นนั้น อาจส่งผลตรงข้ามกันก็ได้ เพราะโดนผูกขาดโดยเทคโนโลยี สำหรับการกำกับโดยรัฐ ยังไม่ค่อยมีผลต่อกลไกตลาด ทั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมระบบทุนมากยิ่งขึ้น

 

seed4

 

 

นอกจากนี้ ศ.ดร.อานันท์ ได้กล่าวถึงการขยายตัวด้านเกษตรอินทรีย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เเต่ในปัจจุบันยังมีจำนวนน้อยเหมือนหยดน้ำ เเม้จะมีการปลุกกรเเสจากสื่อหรือเทรนด์การห่วงใยสุขภาพของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามก็พบว่าการกลไกต่างๆไม่เอื้อต่อเกษตรอินทรีย์ อย่างไรก็ตาม

 

"เราให้ชาวนารับผิดชอบการผลักดันตัวเองทั้งหมดเลย เช่นการจะรู้ว่าข้าวที่พวกเขาผลิตมีโภชนาการเท่าไหร่ ตอนนี้ต้องเอาไปให้มหาวิทยาลัยตรวจสอบ ซึ่งมีค่าตรวจเเพงมากนับเเสนบาท ขนาดมหาวิทยาลัยยังไม่ช่วยเขาเลย นี่เป็นเรื่องสำคัญ เเม้เเต่ภาควิชการยังไม่เอื้อ ยังติดอยู่ในวาทกรรมไปเรื่อยๆ ที่สำคัญที่สุดคือเครือข่ายเมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่ค่อยมีการผลักดันส่งเสริม เวลานี้เราพูดกันมาตลอด เเต่ยังปล่อยไปตามยถากรรม กระเเสมีเเต่ไม่ได้ทำให้เกิดขึ้นจริง ถึงจะเกิดขึ้นจริงก็น้อย " ศ.ดร.อานันท์กล่าว

 

seed5

 

 

โลกเปลี่ยนการเกษตรปรับ โลกร้อน คนล้น อาหารไม่พอ เทคฯ "เเบตเตอรี่-เซลล์เเสงอาทิตย์" บูม

 

ด้านรศ.ดร.วิบูลย์ จงรัตนเมธีกุล คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึง"การปรับตัวของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรของประเทศไทยในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง" ว่า ปัจจุบันมีการเปลี่ยนเเปลงทั้งด้านกายภาพเเละด้านชีวภาพอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดเเละความกินดีอยู่ดีของมนุษย์ โดยเเบ่งเป็นการเปลี่ยนเเปลงใหญ่ๆ ดังนี้ 1) การเปลี่ยนเเปลงอากาศทางสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) จากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของก๊าซเรือนกระจก เเละที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์อย่างการตัดไม้ทำลายป่า โดยสิ่งที่เรากำลังเผชิญกับ ไฟป่า ความเเห้งเเล้ง รวมถึงพายุที่มีบ่อยครั้งขึ้น จึงทำให้เกษตรต้องปรับตัวกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น

 

ต่อมาคือ 2) การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก คนอายุยืนขึ้นจากความก้าวหน้าทางการเเพทย์ โดยคาดว่าภายในปี 2050 ประชากรโลกจะทะลุ 9,700 ล้านคน ส่งผลให้ความต้องการทางอาหารก็จะสูงขึ้นเเละปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหารก็จะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน โดยทาง FAO ประเมินว่าในปี 2050 การผลิตอาหารจะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นจากปัจจุบันอีกราว 60-70 % เพื่อเลี้ยงประชากรทั้งหมดในโลก เเละการที่ประชากรเพิ่มขึ้นอาจไม่ขาดเเคลนอาหารด้านคาร์โบไฮเดรต เเต่ยังขาดอาหารด้านโปรตีน จึงจำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่การผลิตอาหารเเละหาเเหล่งอาหารเเห่งใหม่เพื่อรองรับกรณีดังกล่าว

 

3) เทคโนโลยีเกิดใหม่ (Emerging Technology) นอกจากทำให้เกิดการเปลี่ยนเเปลงในวงการพลังงานเเล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรอย่างมาก โดยรศ.ดร.วิบูลย์ ชี้ว่าเทคโนโลยีด้าน "เเบตเตอรี่ยุคใหม่" ซึ่งใช้โซเดียม อลูมิเนียมเเละสังกะสีเป็นส่วนประกอบสำคัญ จะทำให้สามารถสร้างโครงข่าย ไฟฟ้าขนาดเล็กได้ ซึ่งจะเป็นเเหล่งสะสมพลังงานสะอาดที่ใช้ได้ยาวนาน อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่จะมีการเปลี่ยนเเปลงสำคัญ คือ "เซลล์เเสงอาทิตย์เเบบใหม่" ซึ่งจะถูกพัฒนาขึ้นมาเเทนที่เซลล์เเสงอาทิตย์ซิลิคอนเเบบเดิมที่ใช้ในปัจจุบัน

โดยสองพลังงานเกิดใหม่นี้จะทำให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยจะอยู่ในรูปแบบที่ใช้ง่าย ได้ทุสถานที่เเละที่สำคัญคือราคาถูก เพื่อทดเเทนความจำเป็นในการใช้พลังงานฟอสซิลเเละพลังงานชีวภาพ ทำให้พืชที่นำไปทำเป็นพลังงานกลับมาเป็นอาหาร เเละอาหารจะถูกลงด้วย

 

ต่อมาคือ 4) การเปลี่ยนเเปลงตามนโยบายพัฒนาที่ยั่งยืน Sustainable Development Goal (SDG) ซึ่งกำหนดโดยองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น ซึ่งให้ความสำคัญกับเป้าหมายการยุติความหิวโหย ลดปัญหาภาวะทุพโภชนาการเเละสนับสนุนการเกษตรยั่งยืน โดยไทยในฐานะที่เป็นประเทศสมาชิก จึงจำเป็นต้องกำหนดเเนวทางของภาครัฐให้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าวด้วย

 

5)การเปลี่ยนเเปลงทางการค้าระหว่างประเทศ โดยทิศทางเเละเเนวโน้มความต้องการของสินค้าก็จะเปลี่ยนเเปลงไปตามเศรษฐกิจของชาติคู่ค้า รวมไปถึงนโยบายทางการเมืองเเละสภาวะเศรษฐกิจโลก เกษตรกรในฐานะผู้ผลิตจึงต้องรู้เท่าทันต่อความเปลี่ยนเปลงที่เกิดขึ้นด้วย

 

เเละ 6)ความเปลี่ยนเเปลงด้านการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเเละสื่อสังคมออนไลน์ เเม้ปัจจุบันเกษตรกรยังเข้าถึงสื่อออนไลน์ได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอาชีพอื่น เเต่การขยายตัวของสมาร์ทโฟนมีเเนวโน้มเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นความสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเเละสื่อออนไลน์ของเกษตรกรจึงอาจสร้างโอกาสเเละวิกฤตให้เกิดขึ้นพร้อมๆกันได้

 

seed6

 

 

โดย รศ.ดร.วิบูลย์ ได้เสนอเเนวทาง การปรับตัวของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรในประเทศไทยว่า ควรเริ่มต้นจากภาคการศึกษา ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเปลี่ยน "หลักสูตรการเกษตร" จากเเบบดั้งเดิมซึ่งมักจะผลิตบัณฑิตที่มีความรู้เฉพาะทางตามสาขาวิชา ให้เป็นหลักสูตรที่บูรณาการองค์ความรู้ต่างๆ หลากหลายสาขาเข้าด้วยกัน ให้ผู้ศึกษารู้เท่าทันการเปลี่ยนเเปลงของสภาพอากาศ ความมั่นคงทางอาหาร รวมไปถึง value-chain ของสินค้าเกษตร เป็นต้น

 

จากนั้นควรจะมีการศึกษาวิจัยเเบบคู่ขนานทั้งการพัฒนาการเกษตรขนาดใหญ่เเละการพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรซึ่งใช้ระบบอัตโนมัติหรือระบบอัจฉริยะเพื่อรองรับการขาดเเคลนเเรงงานเเละการพัฒนาการเกษตรเเม่นยำเเละการเกษตรที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนเเปลงของอากาศ

 

ขณะเดียวกัน ระบุถึงการปรับตัวของภาครัฐว่าควรลดความซ้ำซ้อนเเละลดขั้นตอนการปฏิบัติงานลงเพื่อให้สามารถเเบ่งปันทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะด้านการพัฒนาบุคลากรพร้อมการกำหนดนโยบายต่างๆ จำเป็นต้องบูรณาการอย่างเหมาะสมให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน

 

ส่วนการปรับตัวของเกษตร ต้องปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเเปลง ติดตามข้อมูลข่าวสาร กระเเสความนิยมเเละเลือกผลิตอาหารหรือระบบการผลิตที่เน้นสุขภาพของผู้บริโภค เลิกการปลูกพืชอย่างเดียวหรือบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศ เป็นต้น

 

ด้านการปรับตัวของผู้โภค มีความจำเป็นที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนเเปลงเช่นเดียวกัน โดยอาจมีการปรับพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าเกษตรเเละอาหาร พฤติกรรมการบริโภคอาหาร การเก็บเเละถนอมอาหาร เพื่อลดปริมาณเหลือทิ้ง เเละการจัดการของเสียจากการบริโภคอาหารที่เหมาะสม เป็นต้น

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 3 ธ.ค. 2559