แก้ปัญหาภัยแล้ง พื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง ไม่ใช่แค่จัดการน้ำอย่างเดียว

Created
วันเสาร์, 09 เมษายน 2559
Created by
ประชาชาติธุรกิจ
Categories
บทความ
 

โดย ชูลิต วัชรสินธุ์, สมชาย มหรรณพนที

ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งหลายครั้ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510, 2511, 2515, 2520 และ พ.ศ. 2522 ภัยแล้งครั้งที่รุนแรงที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2522 เกิดจากฝนทิ้งช่วงกลางฤดูฝนยาวนานกว่าปกติ คือตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน ปริมาณฝนรายปีต่ำกว่าค่าปกติในทุกภาค บริเวณที่ได้รับผลกระทบเป็นบริเวณกว้าง คือ ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางทั้งหมด ด้านเหนือและด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทางตอนบนของภาคใต้ฝั่งตะวันออก 

ทำให้เกิดความเสียหายและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซึ่งต้องอาศัยผลผลิตทางการเกษตรเป็นวัตถุดิบ รวมทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เพราะขาดน้ำกินน้ำใช้และกระแสไฟฟ้า พืชผลที่ทำการเพาะปลูกไปแล้วได้รับความเสียหายมากมาย

หลังจากปี 2522 ก็เกิดสภาวะฝนแล้งในปีต่อ ๆ มาอีกหลายครั้ง ปีที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก เช่น ปี พ.ศ. 2529, 2530, 2533, 2534, 2535, 2537, 2542, 2548 และล่าสุด พ.ศ. 2558 โดยเฉพาะภัยแล้งในปี พ.ศ. 2537, พ.ศ. 2542 และ พ.ศ. 2558 เป็นปีที่เกิดภัยแล้งเป็นบริเวณกว้างในเกือบทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำเจ้าพระยา พื้นที่ของภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง ต้องมีการจัดสรรปันส่วนน้ำจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ 

สาเหตุใหญ่ของภัยแล้งเกิดจากภัยธรรมชาติ ภาวะฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานานในฤดูฝน และการกระทำของมนุษย์ เช่น การตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำ การบุกรุกแหล่งน้ำธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน การขยายตัวของชุมชน และพื้นที่การเกษตร เป็นต้น
ลุ่มน้ำเจ้าพระยา

เป็นบริเวณที่มีพื้นที่ประมาณ 99.12 ล้านไร่ หรือร้อยละ 30.85 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ซึ่งลุ่มน้ำเจ้าพระยานั้นเป็นลุ่มน้ำ สายหลักที่สำคัญของประเทศ ประกอบด้วย 8 ลุ่มน้ำสาขาหลัก คือ ลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน เจ้าพระยา สะแกกรัง ป่าสัก และท่าจีน ครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง รวมทั้งสิ้น 31 จังหวัด พื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำเป็นพื้นที่เทือกเขาแหล่งต้นน้ำลำธาร มีที่ราบตามหุบเขาและริมน้ำ ตอนกลางพื้นที่

ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบ ลุ่มน้ำท่วมถึง ตอนล่างเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ น้ำท่วมขัง การใช้พื้นที่ในลุ่มน้ำ กล่าวได้คือพื้นที่ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 45.63 เป็นการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร รองลงมาเป็นการใช้ที่ดินประเภทป่าไม้ คิดเป็นร้อยละ 45.30 และพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง ร้อยละ 5.35 ที่เหลือเป็นการใช้ที่ดินประเภทอื่น ๆ และแหล่งน้ำ ร้อยละ 2.09 และร้อยละ 1.64 ตามลำดับ

แหล่งน้ำต้นทุนในปัจจุบันของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง

ลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นลุ่มน้ำที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศทั้งด้านการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และพาณิชยกรรม โดยมีพื้นที่การเกษตรที่เป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ มีการพัฒนาโครงการแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กจำนวนมาก เพื่อเป็นแหล่งเก็บน้ำ เพื่อการใช้น้ำในกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีการพัฒนาโครงการทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งสรุปได้ดังนี้

ลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการพัฒนาโครงการแหล่งน้ำทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็กและโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าในปัจจุบัน มีโครงการทุกประเภทรวม 48,917 โครงการ พื้นที่ชลประทานและพื้นที่รับประโยชน์รวม 20.865 ล้านไร่ มีความจุอ่างเก็บน้ำรวม 27,356.58 ล้าน ลบ.ม. เป็นปริมาตรเก็บกักน้ำของโครงการขนาดใหญ่ที่มีความจุอ่าง เก็บน้ำมากกว่า 100 ล้าน ลบ.ม. จำนวน 11 โครงการ มีความจุอ่างเก็บน้ำรวม 25,987.95 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นความจุอ่างเก็บน้ำใช้งาน 19,186.04 ล้าน ลบ.ม.

ความต้องการใช้น้ำในปัจจุบันและอนาคต

ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นลุ่มน้ำที่เป็นแหล่งผลิตอาหารด้านการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว มีความต้องการใช้น้ำเป็นปริมาณมาก รวมทั้งมีแหล่งเก็บกักน้ำที่มีปริมาตรความจุอ่างเก็บน้ำมากกว่าทุกลุ่มน้ำในประเทศ เมื่อพิจารณาความต้องการใช้น้ำในรายลุ่มน้ำสาขาหลัก แยกเป็นกิจกรรมการใช้น้ำด้านต่าง ๆ ได้แก่ ความต้องการน้ำด้านการเกษตร อุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยว อุตสาหกรรม และรักษาระบบนิเวศวิทยาท้ายน้ำ 

ในปัจจุบันลุ่มน้ำเจ้าพระยามีความต้องการใช้น้ำรวม 30,583 ล้าน ลบ.ม. เพิ่มขึ้นเป็น 36,550 ล้าน ลบ.ม. ในอนาคต 20 ปีข้างหน้าโดยเป็นความต้องการใช้น้ำภาคการเกษตรร้อยละ 82

จากการวิเคราะห์ความต้องการใช้น้ำและปริมาตรน้ำเก็บกักในลุ่มเจ้าพระยา จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา มีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งการใช้น้ำเพื่อการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในเขตพื้นที่ชลประทานเพิ่มมากขึ้น การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว 

ในขณะที่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้ชะลอตัวลง ส่งผลให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ฤดูฝนช่วงน้ำหลากขาดแหล่งเก็บน้ำหลากเพื่อการบรรเทาอุทกภัย จากแผนงานที่คาดการณ์ไว้ในการพัฒนาโครงการเพื่อการบรรเทาอุทกภัยในอนาคตแล้ว จะเป็นการบรรเทาปัญหาภัยแล้งในฤดูแล้งอีกประการหนึ่ง นอกจากนั้นโครงการผันน้ำที่ได้มีการศึกษาเพื่อการพัฒนาก็จะช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี

ความไม่สมดุลจากการพัฒนา
ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการพัฒนานานกว่า 100 ปี ตั้งแต่การขุดคลองเพื่อการ คมนาคมทางน้ำ การระบายน้ำหลากท่วม และการปรับปรุงคลองต่าง ๆ มาเป็นคลองส่งน้ำเพื่อการเกษตร การเริ่มสร้างฝาย และเขื่อนทดน้ำเพื่อการเกษตร เช่น ฝายแม่แฝก เขื่อนพระรามหก และเขื่อนเจ้าพระยา เป็นต้น

จากการเริ่มแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการพัฒนาเขื่อนเก็บกักน้ำและระบบชลประทาน การคมนาคมขนส่ง ชุมชนเมือง การเกษตรและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว มีการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำในพื้นที่ต้นน้ำของลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เป็นต้น เป็นแหล่งเก็บน้ำ ทำให้มีการพัฒนาระบบชลประทาน ทำให้มีการขยายตัวของพื้นที่การเกษตร การใช้พื้นที่ปลูกพืชฤดูแล้งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มีการใช้น้ำมากกว่าปริมาณน้ำต้นทุน ทำให้เกิดปัญหาในปีน้ำน้อยเพิ่มขึ้นและรุนแรงมากขึ้นทุกปี

การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง
พื้นที่เกษตรท้ายเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะโครงการเจ้าพระยา ที่มีพื้นที่ชลประทานกว่า 7 ล้านไร่ และเป็นพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังที่ใหญ่ท ี่สุดของประเทศ เพราะมีแหล่งน้ำต้นทุนขนาดใหญ่ คือ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ รวมทั้งเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก 

แต่บางปีไม่มีการวางแผนและควบคุมการใช้น้ำเพื่อการเพาะปลูกข้าวในฤดูแล้งให้เหมาะสม กับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ำ เกิดการแย่งกันใช้น้ำของเกษตรกร โดยเฉพาะในปีน้ำน้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ยิ่งมีปัญหารุนแรงมาก เพราะน้ำแล้งมาก

การแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีแนวโน้มการใช้น้ำเป็นปริมาณเพิ่มมากขึ้นกว่าปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ เป็นสิ่งจำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และกลุ่มผู้ใช้น้ำต่าง ๆ ต้องมาทำความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อให้เกิดการใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด เพราะการแก้ไขปัญหาภัยแล้งไม่ใช่เป็นการจัดการน้ำจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ หรือเฉพาะหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น การแก้ไขปัญหาภัยแล้งเป็นภารกิจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องมาดำเนินการร่วมกัน

ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต้องทำงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างจริงจัง โดยกำหนดแนวทางต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหา ดังนี้ 1.ต้องวางแผนจัดสรรน้ำและควบคุมการใช้น้ำในแต่ละกิจกรรม 2.การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและผลผลิตในพื้นที่ชลประทาน โดยจัดกลุ่มพื้นที่ชลประทานเพื่อจัดการน้ำในระดับคลองสายหลัก หรือโครงการส่งน้ำให้มีการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ควบคุมการใช้พื้นที่เพาะปลูกฤดูแล้งให้เท่าเทียมกัน จัดพื้นที่ปลูกพืชให้เหมาะกับดินและน้ำ และส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจที่ใช้น้ำน้อยในฤดูแล้ง 3.การเพิ่มอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำ 4.การผันน้ำ คือ โครงการเพิ่มปริมาณน้ำให้เขื่อนภูมิพล

ปัญหาภัยแล้งในลุ่มน้ำเจ้าพระยานับวันจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นทั้งนี้เพราะการใช้น้ำในกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการเกษตร อุปโภคบริโภค การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตร จำเป็นต้องมีการจัดการด้านการใช้น้ำ และการบริหารจัดการน้ำต้นทุนและการจัดหาแหล่งน้ำเพิ่มเติม โดยควรจะต้องมีการวางแผนแก้ไขปัญหาภัยแล้งอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ดังนี้ 1.การวางแผนจัดสรรน้ำและควบคุมการใช้น้ำในแต่ละกิจกรรม 2.การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและผลผลิตในพื้นที่ชลประทาน 3.การเพิ่มอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำ 4.การผันน้ำคือโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล

พื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง ประสบปัญหาภัยแล้งมาหลายครั้ง เห็นได้จากปริมาตรน้ำเก็บกักใช้งานในอ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ในปีที่ต้นเดือนมกราคมมีปริมาตรน้ำเก็บกักใช้งานของทั้งสองเขื่อนน้อยกว่า 4,000 ล้าน ลบ.ม. เช่น ปี 2523, 2537 และ 2542 ทำให้เกิดปัญหาวิกฤตการใช้น้ำในพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง

ในต้นปี 2558 ปริมาตรน้ำเก็บกักใช้งานเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ รวม 5,378 ล้านลบ.ม. น้อยกว่าค่าต่ำสุดของปีน้ำปกติ คือ 6,000 ล้าน ลบ.ม. แต่มากกว่าปริมาตรน้ำเก็บกักใช้งานของทั้งสองเขื่อนในเดือนมกราคมของปี 2523, 2537 และ 2542 แต่ก็เกิดปัญหาวิกฤตน้ำอย่างรุนแรง ทั้งนี้เพราะตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 ขาดการวางแผนการจัดสรรน้ำจากอ่างเก็บน้ำทั้งสองเขื่อน เพื่อการใช้น้ำจากกิจกรรมต่าง ๆ อย่างจริงจัง ประกอบกับที่ฝนทิ้งช่วงไม่ตกในช่วงต้นฤดูฝน ทำให้เกิดผลกระทบการขาดแคลนน้ำรุนแรงมากขึ้น สภาวะวิกฤตในช่วงปลายฤดูฝนแต่ละปี จะต้องพิจารณาถึงปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนทั้งสองเขื่อนว่าปริมาตรน้ำใช้งานเท่าไร จะได้วางแผนการจัดสรรน้ำและควบคุมการใช้น้ำในกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม

และเพื่อให้การดำเนินการแก้ปัญหาภัยแล้งได้ผลอย่างจริงจัง จำเป็นต้องมีการร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยหน่วยงานของรัฐต้องมีการวางแผนร่วมกัน และประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนอย่างจริงจัง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาภัยแล้งหรือการบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 7 เม.ย. 2559