การถอดทอนความเป็นเจ้าของทรัพยากร ปัญหาที่รัฐไม่คิด

Created
วันเสาร์, 09 เมษายน 2559
Created by
สยามรัฐ
Categories
บทความ
 

ปัญหาด้านหนึ่งที่รัฐบาลและ คสช.คงจะไม่มีความรับรู้หรือตามกลเกมของอภิทุนโลกาภิวัตน์ไม่ทัน นั่นคือการกีดกันราษฎรไทยออกจากความเป็น “เจ้าของทรัพยากร” รูปธรรมคือเรื่องสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ รวมไปถึงกรรมสิทธิ์ที่ดินในเขตเศรษฐกิจพิเศษตามชายแดนด้วย อภิทุนที่เข้ามากับกระแสโลกาภิวัตน์จำเป็นต้องเลิกล้ม “ความเป็นเจ้าของทรัพยากร” ของพลเมืองในประเทศที่อภิทุนกำลังเข้าไปแสวงหาประโยชน์

            ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นอภิทุนจากโลกตะวันตก หรือจากประเทศจีน ต่างก็ล้วนต้องทำเช่นนั้น และปัญหานี้เอง ที่กำลังผลักดันให้เกิดความขัดแย้งระหว่างมวลชนในพื้นที่ทรัพยากรกับรัฐบาล นักวิชาการไทยแม้จะพยายามอธิบายปัญหานี้ แต่ภาครัฐก็ไม่ใส่ใจ ยังคงหลงเดินตามแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นพวกเดียวกับอภิทุน ดร.ชยันต์  วรรธนะภูติ  แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เสนอปัญหาที่ทุนโลกาภิวัตนืกำลังเข้ามาถอดถอนความเป็นเจ้าของทรัพยากรของพลเมืองไทยไว้ว่า

“...เราจะพูดเพียงว่าโลกาภิวัตน์เป็นโลกไร้พรมแดนหรือเป็นการเคลื่อนย้ายผู้คน  หรือเคลื่อนย้ายสินค้าข้ามแดนอย่างเดียวไม่ได้  ถ้าพูดอย่างนั้น คือการพูดอย่างไม่เข้าใจ การรุกเข้ามาของโลกาภิวัตน์  มันเข้ามาโดยการสะสมทุนผ่านกระบวนการที่เรียกว่า การถอดทอนความเป็นเจ้าของทรัพยากร   หรือการลบล้างความเป็นเจ้าของทรัพยากร หมายความว่าเวลาพัฒนาการของทุนนิยมที่เข้ามามันจะต้องพยายามสะสมทุนให้มากที่สุด   ทำอย่างไรถึงจะสะสมทุนให้มากขึ้นคือการเอาคนออกจากพื้นที่   ตัวอย่าง กรณีเหมืองแร่โพแตส  นายทุนจะสะสมทุนได้คือการขอสัมปทานและไล่คนออกจากพื้นที่  หรือการสะสมทุนโดยการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ  ก็คือให้ปลูกยางพารา โดยการเอาคนที่เคยทำมาหากินออกไป หรือการขุดเหมืองทองที่จังหวัดเลย การสร้างเขื่อน  เหล่านี้คือกระบวนการสะสมทุนของระบบทุนนิยม  คือการเอาคนที่เคยอยู่หลุดออกจากแหล่งทรัพยากรของตนเอง  ทรัพยากรป่าไม้ ที่ดิน แหล่งน้ำ  แหล่งที่เป็นที่หล่อเลี้ยงชีวิตของเขา

           ทีอุบลราชธานีก็มีพี่น้องที่ไร้ที่ทำกินประมาณ ๓,๐๐๐ กว่ารายและบริเวณชายแดนที่ติดเขมรที่เป็นกรณีกันอยู่  ก็จะมีพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมากที่จะสูญเสียที่ดินไป เนื่องจากการรุกเข้ามาของทุนนิยม ซึ่งกรณีนี้การรุกเข้ามาของทุนนิยมอาจจะเรียกว่า  ทุนนิยมสามานย์ด้วยซ้ำไป เข้ามาเพื่อที่จะไล่ผู้คนออกจากพื้นที่และนายทุนเข้ามายึดพื้นที่  ทุนนิยมไม่ได้หมายถึง แม็คโดนอลเสมอไปแต่มันคือทุนนิยมสามานย์ วิธีการที่เข้ามาเขาจะมาบอกว่าที่ตรงนี้น่าจะให้นิยามความหมายใหม่   เช่นบอกว่าที่ตรงนี้เป็น ๖ เหลี่ยมมรกตน่าจะทำเป็นสนามกอล์ฟ  ที่พักผ่อนหย่อนใจ  มีโรงแรมชั้นดี  แต่หมายความว่าผู้คนต้องออกไปแล้วเขาจะเข้ามาแทน เพราะฉะนั้นขอนแก่นก็จะเป็นเมืองที่ถูกนิยามว่า  เปิดประตูไปสู่อินโดจีน หลายคนจะถูกรุกไล่จากวิธีการเหล่านี้

          ทุนนิยมโลกาภิวัตน์มีวิธีการอันหนึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Reterritorial คือ การครอบครองอาณาบริเวณพื้นที่    อันนี้คือการลดความสำคัญของการครอบครองอาณาบริเวณ  คนแต่เดิมข้ามแดนมาไม่ได้   ทุนต้องใช้แรงงานข้ามชาติ   ผลักดันให้รัฐครอบครองอาณาบริเวณพื้นที่ให้แรงงานข้ามชาติเข้ามาได้  เช่น  แรงงานลาว เข้ามาที่มุกดาหาร  แรงงานพม่ามาทำงานแหอวนที่ขอนแก่น 3-4 พันคน  หรือมีเขยฝรั่งเข้ามาหรือมีการให้นิยามความหมายใหม่   หรือกระบวนการผลิตแบ่งซอยการผลิตให้ย่อยลงมาเพื่อที่จะไม่ให้โรงงานผลิตอยู่ที่เดียว   เอาการผลิตไปอยู่ในแรงงาน  เช่นอยู่ใต้ถุนบ้าน หรือว่าประเด็นอย่างเทสโก้โลตัส เข้ามาไม่ต้องเกรงใจ   ก็สามารถลอดเข้ามาขายของและเอาเงินสดส่งออกไปได้เลย  ความเป็นรัฐชาติจึงมีความหมายน้อยลง” (จากบทอภิปราย “อัตลักษณ์อีสานกับการเปลี่ยนแปลงของโลก” 24 กุมภาพันธ์ 2554)

ที่มา : สยามรัฐ วันที่ 4 เม.ย. 2559