คนรวย ความเหลื่อมล้ำ เป็นอุปสรรคกับประชาธิปไตยไหม อย่างไร?

Created
วันจันทร์, 24 สิงหาคม 2558
Created by
มติชน
Categories
บทความ
 
 
คอลัมน์ ดุลยภาพดุลยพินิจ โดย ผาสุก พงษ์ไพจิตร

 

คำถามนี้ ศาสตราจารย์ดารอน อาเซโมกลู ที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย MIT มีคำตอบในหนังสือ Economic Origins of Dictatorship and Democracy ที่เขียนร่วมกับ เจมส์ โรบินสัน (2006)

เขาสร้างแบบจำลองง่ายๆ แสดงให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำเป็นอุปสรรคกับการก่อตัว และความยั่งยืนของประชาธิปไตยอย่างไร มีตัวละครสำคัญ 2 กลุ่ม หนึ่งคือชนชั้นนำหรือคนรวยเป็นคนกลุ่มน้อย แต่อยู่ในอำนาจ อีกกลุ่มหนึ่งคือคนธรรมดาทั่วไปเป็นคนกลุ่มใหญ่แต่ฐานะด้อยกว่าโดยเปรียบเทียบ ชนชั้นนำนี้อาจต่างกันไปในแต่ละสังคม แต่มักจะรวย และถึงแม้ไม่รวยมาก่อน เมื่อมีอำนาจก็ใช้อำนาจสร้างความมั่งคั่งได้ ผู้ที่รวยอยู่แล้วก็ใช้อำนาจทางการเมืองเพิ่มความรวยต่อไป ดังนั้น ชนชั้นนำกับคนรวยจึงไปด้วยกัน

คนธรรมดาต้องการประชาธิปไตย เพราะเขาอยากได้ประโยชน์จากสินค้าและบริการสาธารณะต่างๆ และการประกันสังคม คนรวยมีแนวโน้มที่จะต่อต้านประชาธิปไตย เพราะไม่ต้องการเสียภาษีเอาไปจัดสวัสดิการ ดังนั้น ในสังคมความเหลื่อมล้ำสูงคนรวยยิ่งต่อต้านประชาธิปไตย ยกเว้นเสียแต่ว่าสถานการณ์บังคับ คือคนธรรมดาลุกฮือเป็นจลาจล และสร้างความเสียหายสูงเกินกว่าที่จะรับได้

แบบจำลองง่ายๆ นี้ ใช้อธิบายเมืองไทยในปัจจุบันได้ หลักฐานคือ 1.สังคมไทยเหลื่อมล้ำสูง ขณะเดียวกันขบวนการต่อต้านรัฐบาล ที่ในท้ายที่สุดนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 ก็ชูประเด็นคัดค้านนโยบาย "ประชานิยม" ที่มีผลทำให้การกระจายรายได้ดีขึ้นและช่วยแก้ปัญหาคนธรรมดา และเพราะนโยบายดังกล่าวเป็นภาระภาษีแก่คนรวย 2.ผู้ที่คณะรัฐประหารคัดสรรให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีรายได้เฉลี่ยเป็น 32 เท่าของรายได้เฉลี่ยของคนไทยทั้งประเทศ จึงจัดอยู่ในกลุ่มคนรวย

ในแบบจำลองของอาเซโมกลู แนวโน้มสู่ประชาธิปไตย หรือเผด็จการยังขึ้นอยู่กับต้นทุนหรือความเสี่ยงในการต่อต้านประชาธิปไตยที่คนธรรมดาต้องการ ความเสี่ยงหรือต้นทุนนี้จะสูงในสังคมที่ระบบเศรษฐกิจพึ่งอุตสาหกรรมการผลิตใช้ทักษะแรงงานสูง ความเป็นเมืองสูงและประชาสังคมเข้มแข็งมาก

งานของพิกเก็ตตี้ เรื่อง Capital ก็อภิปรายประเด็นความเกี่ยวพันระหว่างความเหลื่อมล้ำ กับแรงต้านประชาธิปไตย โดยมีข้อสรุปว่าเศรษฐกิจระบบตลาด มีข้อดีตรงที่ส่งเสริมความรู้และทักษะรวมทั้งพัฒนาการทางเทคโนโลยี แต่ถ้าไม่มีการกำกับควบคุมก็จะส่งผลเสียเพราะมีศักยภาพที่จะทำร้ายประชาธิปไตย และความเป็นธรรมในสังคม

พิกเก็ตตี้ได้ใช้ข้อมูลรายละเอียดเรื่องภาษีและการได้รับมรดกในกรณีของยุโรป เช่น ฝรั่งเศส ชี้ให้เห็นว่าแหล่งที่มาของทรัพย์สินและรายได้ของกลุ่มคนรวยเปลี่ยนไปได้ และขึ้นอยู่กับประเภทของกลุ่มคนด้วย ในช่วงที่เศรษฐกิจและประชากรขยายตัวช้า ความมั่งคั่งที่สะสมมาได้เพราะการรับมรดกมีความสำคัญสูงแต่จะทำให้สังคมเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ในเศรษฐกิจเกิดใหม่ (emerging economics) เช่นไทย ซึ่งในช่วง 30-40 ปี ที่ผ่านมาประชากรและจีดีพี เติบโตเร็ว องค์ประกอบของกลุ่มคนรวยจะเปลี่ยนเร็ว คนรวยกลุ่มเดิมอาจจนลง (เศรษฐกิจวิกฤต) มีกลุ่มใหม่เข้ามา การเปลี่ยนแปลงที่ส่วนยอด 1% ของพีระมิดรายได้/ทรัพย์สิน จึงจะมีความสำคัญกับการเมืองมากกว่าแนวโน้มความเหลื่อมล้ำรวมๆ ของสังคม ทั้งนี้ เพราะว่าคนรวยมากๆ สามารถส่งผลกระทบกับการเมืองได้มาก

ในประเด็นนี้ อาเซโมกลูวิเคราะห์ว่า คนรวยที่มีรายได้มาจากที่ดินเป็นหลัก จะต่อต้านประชาธิปไตยมากกว่ากลุ่มอื่นๆ เพราะเขากลัวภาษีที่ดิน ที่เก็บได้ง่ายกว่าและหลีกเลี่ยงได้ยาก ขณะที่คนรวยที่พึ่งการผลิตในระบบอุตสาหกรรม ใช้แรงงานทักษะมาก มีแนวโน้มที่จะต่อต้านประชาธิปไตยต่ำกว่า

นักวิชาการมีชื่อเสียงอีกรายหนึ่ง ศาสตราจารย์เจฟฟรี วินเตอร์ส เขียนหนังสือชื่อ Oligarchy (2011) บอกให้เห็นว่า กลุ่มคนรวยที่สุดในทุกสังคม พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะควบคุมหรือส่งอิทธิพลกับการเมือง เพื่อที่พวกเขาจะปกป้องความมั่งคั่งและรายได้ไม่ให้หล่นหายไป และในสังคมสมัยใหม่คนรวยจะมีอิทธิพลมิใช่แต่กับการเมืองแต่กับประเด็นหลักนิติธรรมด้วย 

วินเตอร์ส เปรียบเทียบกรณีสุดขั้ว 2 กรณี ที่สหรัฐมีระบบกฎหมายตามหลักนิติธรรมลงหลักปักฐานอย่างชัดเจน และคนรวยที่นั่นพอใจที่จะใช้มันปกป้องทรัพย์สินของเขา ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญ แต่ในช่วง 100 ปี ที่ผ่านมาคนรวยชาวอเมริกัน ก็ได้ทำให้ระบบการเลือกตั้งอยู่ใต้อิทธิพลของเงินตรา ดังจะเห็นได้ว่า คนรวยเสียภาษีรายได้จริงๆ ในอัตราที่ต่ำกว่าคนธรรมดามากและคนรวยก็ได้ส่งอิทธิพลทำให้การกำกับควบคุมระบบการเงินโดยภาคราชการไม่ได้ผลเลย (deregulation of finance)

อีกขั้วตรงกันข้ามที่อินโดนีเซียสมัยซูฮาร์โต ที่ไม่มีทั้งประชาธิปไตยหรือหลักนิติธรรม คนรวยที่นั่นห้อมล้อมผู้นำเผด็จการ คือ ซูฮาร์โต เพื่อใช้อำนาจเบ็ดเสร็จของเขาปกป้องทรัพย์สินของพวกเขา และขณะเดียวกันก็ใช้อำนาจเดิมสร้างความมั่งคั่งผ่านการใช้กำลังบังคับหรือทำธุรกิจผิดกฎหมาย

อีกนัยหนึ่ง คนรวย อาจยอมรับหลักนิติธรรมในสถานการณ์ที่ถ้าทำเช่นนั้น จะช่วยปกป้องทรัพย์สินและทำให้เขารวยขึ้นไปอีก แต่ในอีกสถานการณ์ คนรวยก็สนับสนุนเผด็จการอำนาจนิยมด้วยเหตุผลเดียวกัน

 แต่ทุกสังคมไม่ได้มีเฉพาะคนรวยและคนธรรมดา (คนจน) แต่มีชนชั้นกลางด้วย บทบาทของพวกเขาเป็นอย่างไร?

อาเซโมกลูวิเคราะห์ว่า ชนชั้นกลางมีลักษณะเสมือนกันชนระหว่างคนรวยและคนธรรมดาที่ขัดแย้ง และอาจจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งได้ 

จากการศึกษาประเทศต่างๆ เขาพบว่าสังคมที่มีชนชั้นกลางฐานะดีอยู่ได้สบายๆ เป็นจำนวนมาก พวกเขาจะเอียงมาทางนโยบายที่คนรวยพอใจ ทำให้ลดแรงต้านประชาธิปไตยโดยคนรวยลงไป และการพัฒนาการสู่ประชาธิปไตยในสังคมเช่นนั้น จะราบรื่นกว่าสังคมที่จำนวนชนชั้นกลางฐานะดีมีจำกัด

ในเมืองไทย เรามีชนชั้นกลางฐานะดีจำนวนจำกัด เพราะตามหลักฐานข้อมูล คนรวย 1% บนยอดพีระมิดรายได้และทรัพย์สินจะต่างจากกลุ่มรองลงมาอย่างมาก 

แนวคิดข้อเสนอเหล่านี้มีนัยอย่างไรกับสังคมไทย?

ในภาวะความเหลื่อมล้ำสูง ณ ปัจจุบัน แนวโน้มสู่ประชาธิปไตยไม่แจ่มใส

ในอีกบทความหนึ่งชื่อ Oligarchic Vs Democratic Societies (2008) อาเซโมกลูวิเคราะห์กรณีของการปกครองโดยผู้ผลิตรายเดียว (หรือกลุ่มน้อย) บอกให้เห็นว่า การผูกขาดระบบเศรษฐกิจในระยะเริ่มแรกจะทำให้ตัวเองมีกำไรสูงแต่ต่อมา เศรษฐกิจจะชะงักงันไปไม่รอด เพราะการผูกขาด ปิดกั้นผู้ผลิตใหม่ๆ ที่จะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ และนวัตกรรมเข้ามาสร้างความเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจ

ดังนั้น ในระยะยาวแล้ว การปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตได้เร็วกว่าและยั่งยืนกว่า เพราะเอื้อกับของใหม่ที่มากับการแข่งขัน

ในกรณีนี้เขาพูดถึงความเป็นไปได้ที่กลุ่มธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม จะไม่พอใจการผูกขาด เพราะพบว่าระบบผู้ผลิตรายเดียวไม่ช่วยให้พวกเขาเติบโตได้ จึงแตกตัวออกมาสนับสนุนประชาธิปไตย ดังนั้น ความแตกแยกในกลุ่มชนชั้นนำ/คนรวย จึงเป็นช่องทางให้มีการพัฒนาสู่ประชาธิปไตยได้

เราอาจจะเห็นการแตกตัวของกลุ่มชนชั้นนำ/คนรวยในเมืองไทย ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา

 

ที่มา : มติชน วันที่ 21 ส.ค. 2558