ภัยเงียบหนี้เกษตรกรกับทางออกนาโนไฟแนนซ์

Created
วันพุธ, 29 กรกฎาคม 2558
Created by
Siam Intelligence
Categories
บทความ
 

 

nanofn

โดย อาจารย์วรรณพงษ์   ดุรงคเวโรจน์
ภาควิชาเศรษฐศาสตร์การพัฒนา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ภัยแล้งที่ไทยกำลังเผชิญอยู่นี้ ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จากตัวเลขจะระบุว่าสัดส่วนของของภาคเกษตร (Output from agricultural product) จะอยู่เพียง 10% ของ GDP แต่สินค้าเกษตรได้เป็นวัตถุดิบขั้นต้น (Primary input) เพื่อส่งโรงงานแปรรูปและกลายมาเป็นสินค้าอุตสาหกรรม

กอปรกับข้อมูลที่ระบุว่าแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศ (35% ของแรงงาน หรือกว่า 14 ล้านคน) ยังคงอยู่ในภาคการเกษตร ดังนั้น ไม่ว่าสัดส่วนอุตสาหกรรมและบริการของไทยจะเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน แต่เราไม่อาจทิ้งภาคเกษตรกรรมไปได้เพราะเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ไทยเป็นประเทศที่ใช้การส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Export-led growth nation) ซึ่งเป็นโมเดลที่หลายประเทศใช้แล้วประสบความสำเร็จ (กลุ่ม NICs ประกอบด้วยเกาหลีใต้ ฮ่องกงไต้หวัน สิงคโปร์)

อย่างไรก็ตาม การใช้โมเดลนี้มีความเสี่ยงตรงที่เราฝากการพัฒนาของประเทศไว้กับอุปสงค์ของคนอื่น กล่าวคือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ยอดสั่งซื้อสินค้าลด หรือมีสินค้าจากชาติอื่นที่ดีกว่าแต่ขายในราคาถูกกว่า สินค้าไทยย่อมอยู่ในสภาวะขายไม่ออก ไม่มีคำสั่งซื้อ

จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ก็พบว่า 5 เดือนแรกในปี 2558 นี้ การส่งออกของเราลดลงกว่า 4.20% แม้จะมีการเติบโตในรายได้จากการท่องเที่ยว 28% แต่มันไม่สามารถชดเชยกันได้ทั้งหมด เพราะห่วงโซ่มูลค่าของการท่องเที่ยวมีการกระจุกตัวของกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์จริงๆ มากกว่าการผลิต (Real sector) ดังนั้น สถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จนถึงปีหน้า…เรียกได้ว่าน่าเป็นห่วง

มีตัวเลขที่น่าสนใจคือ รายได้ที่เป็นเงินสดสุทธิของครัวเรือนเกษตรทั่วประเทศโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 140,844 บาทต่อครัวเรือนเป็น 157,270 ต่อครัวเรือน (เพิ่มขึ้น 12%) แต่เป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้นอกภาคเกษตร (ที่เติบโตกว่า 20%) ซึ่งมาชดเชยรายได้จากภาคเกษตรที่ลดลง 0.68%  ซึ่งหมายความว่าเกษตรกรมีรายได้จากสิ่งที่ตนเองถนัด…ลดลง

nanofn

สำหรับข้อมูลทรัพย์สินปลายปีของเกษตรกร ข้อมูลในช่วงปี 2551-2555 พบว่า เกษตรกรในภาคกลางและภาคใต้มีทรัพย์สินลดน้อยลง 3% และ 2.06% ตามลำดับ ซึ่งนับว่าไม่เป็นผลดีต่อเกษตรกร ถึงกระนั้น พบว่าครัวเรือนเกษตรภาคกลางยังคงมีทรัพย์สินสูงที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ โดยมีทรัพย์สินเฉลี่ยประมาณครัวเรือนละ 2.53 ล้านบาท

ในด้านหนี้สินปลายปี พบว่าครัวเรือนเกษตรทุกภาคมีหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  โดยหนี้สินของครัวเรือนเกษตรในภาคกลางเพิ่มขึ้นถึง  60.15% ในช่วงปี 2551-2555 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีนัยยะที่น่าสนใจคือ เมื่อปี 2551 ครัวเรือนเกษตรที่มีหนี้สินสูงที่สุดอาศัยในภาคเหนือ แต่ 5 ปีต่อมา พบว่ากลายเป็นครัวเรือนเกษตรในภาคกลางที่มีมูลค่าของหนี้สินสูงที่สุดแซงหน้าภาคเหนือ ดังนั้น ครัวเรือนเกษตรในภาคกลางจึงเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินและหนี้สินสูงที่สุดในประเทศ

ทั้งนี้ ได้มีเครื่องมือที่นักเศรษฐศาสตร์/นักวิเคราะห์ทางการเงินใช้วิเคราะห์เพื่อพิจารณาความเสี่ยงจากการให้กู้หรือสภาวะความเสี่ยงของผู้กู้ ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวคือ Debt/Equity (D/E) Ratio ซึ่งต้องการค่าที่ต่ำอยู่เสมอ

โดยจากการใช้อัตราส่วนทางการเงินดังกล่าววิเคราะห์ พบแนวโน้มที่ไม่ค่อยดีสำหรับเกษตรกรไทยคือ D/E Ratio มีการสูงขึ้นในทุกภาค โดยภาพรวมพบว่า D/E Ratio ขยับตัวสูงขึ้นกว่า 40.60% ซึ่งถือว่าสูงมาก

โดยครัวเรือนเกษตรในภาคกลางมีค่า D/E Ratio เพิ่มขึ้นกว่า 67.43% ในช่วง 2551-2555 ซึ่งเป็นภัยเงียบที่นำไปสู่ความล้มเหลวของเสถียรภาพทางการเงินในกลุ่มเกษตรกรไทย

รองลงมาคือภาคอีสานและภาคใต้ที่มีการเปลี่ยนแปลงใน D/E Ratio ใกล้เคียงกัน ประมาณ 40%

ขณะที่ครัวเรือนเกษตรในภาคเหนือมีการเปลี่ยนแปลงของ D/E Ratio น้อยที่สุด ประมาณ 20% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของเกราะคุ้มกันทางการเงินของครัวเรือนเกษตรที่ลดต่ำลงในทุกภาค

เกษตรกรต้องแบกรับภาระหนี้ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่แทรกแซงตลาดอย่างไม่สิ้นสุด เกษตรกรเกิดความเคยชินกับการประกันราคา จำนำสินค้าเกษตร รับซื้อ หรือสนับสนุนด้วยเงิน

หากพิจารณาแล้วจะพบว่านโยบายถูกปรับใช้เหมือนๆ กันในแต่ละภาค (เช่น ชาวนาในภาคเหนือได้รับสิทธิเหมือนชาวนาในภาคกลาง) ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เกษตรกรในแต่ละภาคมีลักษณะหรือสภาพ (Condition) ที่แตกต่างกันในหลายประเด็น เช่น ภาระหนี้สิน ผลตอบแทนเมื่อวัดจากราคาหน้าฟาร์ม รวมถึงความเข้มแข็งของชุมชน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขข้างต้นไม่ได้สะท้อนปัญหาสังคมที่เกี่ยวโยงโดยตรงกับเศรษฐกิจอีกด้านหนึ่ง ซึ่งก็คือ “หนี้นอกระบบ” สาเหตุสำคัญที่สุดของหนี้นอกระบบคือระดับความยากจนของเกษตรกร ทำให้ไม่อาจเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องทนจ่ายดอกเบี้ยที่สูงและการทวงเงินที่รุนแรงจากบรรดาเจ้าหนี้

nanofn1

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้มีโครงการ “นาโนไฟแนนซ์” (Nano-Finance) ซึ่งกระทรวงการคลังเป็นคนต้นคิด มีหลักการมาจาก “ไมโครไฟแนนซ์” ในต่างประเทศหรือเป็นที่รู้จักกันดีในนามธนาคารกรามีน (Grameen Bank) ของบังคลาเทศ

ลักษณะของนาโนไฟแนนซ์ก็คือการให้สินเชื่อแก่ประชาชนเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ผู้เริ่มต้นธุรกิจใหม่สามารถกู้ได้ วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยและค่าปรับอื่นๆ ไม่เกิน 36% ต่อปี

ในปัจจุบัน รัฐบาลได้ออกใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ไปแล้วทั้งสิ้น 9 ราย เช่น บจก. ซีเอฟจี เซอร์วิส (ศรีสวัสดิ์เงินติดล้อ) บจก. เมืองไทยลิสซิ่ง และ บมจ. แมคคาเล กรุ๊พ เป็นต้น ซึ่งเปิดบริการให้กู้แล้ว 2 ราย (บจก. เงินสดทันใจ และ บจก. ไทยเอซ แคปปิตอล) โดยให้สินเชื่อไปแล้ว 50 ราย วงเงินรวม 6.2 แสนบาท

nanofn2 

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตอนนี้บริษัทเหล่านี้ได้ดำเนินการปล่อยสินเชื่อในหลายจังหวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่จากการสอบถามเบื้องต้นยังพบว่าประชาชนไม่รู้จักนาโนไฟแนนซ์ ภาครัฐจึงต้องประชาสัมพันธ์โครงการให้มากกว่านี้ มิเช่นนั้น อาจเป็นโครงการที่ดีแต่สูญเปล่าเพราะคนที่รู้จักและใช้ประโยชน์มีอยู่ในวงจำกัด

ทั้งนี้ ประเด็นที่ขอเสนอต่อคือ

  • 1) ผู้ประกอบการนาโนไฟแนนซ์มีชื่อไม่คุ้นหูของประชาชน มีผลทำให้กลุ่มเป้าหมายอาจไม่เข้าใจว่าแตกต่างจากเงินกู้นอกระบบอย่างไร
  • นอกจากนั้น เนื่องจากการเป็นผู้ประกอบการที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนาน ไม่มีสำนักงานที่ให้บริการจึงอาจไม่ครอบคลุมทั่วทั้ง 77 จังหวัด ในทุกอำเภอ
  • ดังนั้น ในระยะเริ่มแรกอาจขอให้ ธ. ออมสิน หรือ ธ.ก.ส. เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความน่าเชื่อถือของโครงการ
  • 2) ระดับของการให้กู้จากโครงการนาโนไฟแนนซ์ควรแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากแต่ในละภาคมีสัดเสี่ยงความเสี่ยงของเกษตรกรในการผิดนัดชำระหนี้แตกต่างกันไป  ซึ่งผู้ให้กู้จะต้องพึงระวังในจุดนี้เพราะท้ายที่สุดแล้วอาจก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียหรือ NPL ได้

ที่มา : Siam Intelligence วันที่ 25 ก.ค. 2558